thansettakij
สภาฯ "อภิปรายไม่ไว้วางใจนายกฯ" วันไหน กี่โมง ประเด็นอะไรบ้าง

สภาฯ "อภิปรายไม่ไว้วางใจนายกฯ" วันไหน กี่โมง ประเด็นอะไรบ้าง

18 มี.ค. 2568 | 02:11 น.
อัปเดตล่าสุด :22 มี.ค. 2568 | 03:20 น.
3.8 k

อัพเดทล่าสุด กำหนดการประชุมสภาผู้แทนราษฎร "อภิปรายไม่ไว้วางใจ 2568" วันไหน กี่โมงและมีประเด็นอะไรบ้าง หลังล็อคเป้าถล่มนายกรัฐมนตรี "แพทองธาร ชินวัตร" แค่คนเดียว

ฝ่ายค้านเตรียม "อภิปรายไม่ไว้วางใจ 2568" ล็อคเป้าแค่ "นายกฯ แพทองธาร"  เพียงแค่คนเดียว จะเกิดขึ้นวันไหน ช่วงเวลากี่โมง และมีประเด็นอะไรบ้าง หลังแก้ไขญัตติตัดคำว่า "ทักษิณ"

 

ความเคลื่อนไหวล่าสุดเมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2568 นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร เปิดเผยว่า ได้ยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจฉบับแก้ไขต่อนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎรแล้ว โดยปรับแก้ข้อความในญัตติ

 

จากเดิมที่ระบุถึง "นายทักษิณ ชินวัตร ผู้เป็นบิดา" เปลี่ยนเป็น "บุคคลในครอบครัว" ซึ่งคาดว่าจะสามารถเปิดอภิปรายได้ในวันที่ 24 มีนาคม 2568 ตามข้อเสนอของรัฐบาล ทั้งนี้ ผู้นำฝ่ายค้านเชื่อว่าประธานสภาฯ จะบรรจุญัตติดังกล่าวเข้าสู่วาระโดยไม่มีปัญหาใดๆ

ความเป็นมาของการยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ 2568

 

ย้อนไปเมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2568 หัวหน้าพรรคฝ่ายค้าน 5 พรรคในสภาผู้แทนราษฎร ได้ร่วมกันลงชื่อยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลถึงประธานสภาผู้แทนราษฎร

 

โดยอาศัยอำนาจตามมาตรา 151 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แต่ได้เกิดข้อขัดแย้งในประเด็นการใช้ถ้อยคำที่อ้างถึงบุคคลภายนอก ซึ่งนำไปสู่การแก้ไขเนื้อหาในญัตติฉบับใหม่

ประเด็นหลักในการอภิปราย

 

ในญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจระบุว่า นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี มีพฤติการณ์อันไม่อาจไว้วางใจให้บริหารราชการแผ่นดินในฐานะนายกรัฐมนตรีได้อีกต่อไป โดยมีประเด็นสำคัญดังนี้

  1. ขาดคุณสมบัติและความเหมาะสม - ไม่มีคุณสมบัติและไม่มีความเหมาะสมในการดำรงตำแหน่งผู้นำฝ่ายบริหาร ทั้งขาดภาวะผู้นำ ขาดวุฒิภาวะ ขาดความรู้ความสามารถ และขาดเจตจำนงในการบริหารราชการแผ่นดิน
  2. ทำลายภาพลักษณ์และความเชื่อมั่น - ส่งผลให้ทำลายภาพลักษณ์และความเชื่อมั่นของประเทศชาติ จงใจลอยตัวอยู่เหนือปัญหาและไม่มีความรับผิดชอบต่อตำแหน่งหน้าที่
  3. เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวและพวกพ้อง - เห็นแก่ผลประโยชน์ของตนเอง ครอบครัว และพวกพ้องเป็นตัวตั้ง อยู่เหนือผลประโยชน์ของส่วนรวม
  4. ไม่ซื่อสัตย์สุจริต - ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ มีพฤติการณ์เอาเปรียบประชาชน เอาเปรียบสังคม โกหกหลอกลวง ไม่ดำเนินการตามนโยบายที่ให้สัญญาไว้กับประชาชน
  5. บริหารประเทศล้มเหลว - บริหารบ้านเมืองผิดพลาดล้มเหลวอย่างร้ายแรงทั้งในด้านการเมือง การปฏิรูปกองทัพ ความมั่นคง เศรษฐกิจ คุณภาพชีวิต สิ่งแวดล้อม ทำลายนิติรัฐ และทำลายระบอบประชาธิปไตยระบบรัฐสภา
  6. ปล่อยปละละเลยการทุจริต - ปล่อยปละละเลยให้เกิดการทุจริตคอร์รัปชั่นภายใต้การบริหารงานของตนเอง ทุจริตเชิงนโยบายเพื่อเอื้อผลประโยชน์แก่พวกพ้องและกลุ่มทุน
  7. แต่งตั้งบุคคลไม่เหมาะสม - แต่งตั้งบุคคลที่ขาดความเหมาะสม ขาดความรู้ความสามารถ หรือไม่ซื่อสัตย์สุจริตไปเป็นรัฐมนตรีหรือตำแหน่งสำคัญอื่น
  8. การถูกชี้นำจากบุคคลในครอบครัว - สมัครใจยินยอมให้บุคคลในครอบครัวชี้นำ ชักใย ให้กระทำการหรืองดเว้นกระทำการอันเป็นเรื่องสำคัญของชาติบ้านเมือง

 

ความขัดแย้งเรื่องเวลาอภิปรายที่ยังไม่ลงตัว

 

การเตรียมความพร้อมสำหรับการอภิปรายยังคงมีข้อถกเถียงในประเด็นระยะเวลาในการอภิปราย โดยฝ่ายค้านและรัฐบาลยังไม่สามารถหาข้อสรุปร่วมกันได้

  • ฝ่ายค้าน เรียกร้องเวลาอภิปราย 30 ชั่วโมง ซึ่งลดลงจากข้อเรียกร้องเดิมที่ขอถึง 5 วัน
  • ฝ่ายรัฐบาล เสนอให้ฝ่ายค้านใช้เวลา 23 ชั่วโมง และรัฐบาลใช้เวลา 7 ชั่วโมง

 

ในการประชุมวิป 3 ฝ่ายเมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2568 ยังไม่สามารถหาข้อสรุปเรื่องกรอบระยะเวลาได้ และนัดหมายให้มีการหารือกันอีกครั้งในวันที่ 19 มีนาคม 2568

 

นายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล หรือประธานวิปรัฐบาล ยืนยันจุดยืนว่าไม่สามารถเพิ่มเวลาให้มากกว่า 23 ชั่วโมงได้แล้ว โดยกล่าวว่า "ถอยไม่ได้แล้วครับ ถอยก็ตกแม่น้ำเจ้าพระยาไปแล้ว" และชี้แจงเพิ่มเติมว่า "เราก็ถอยให้หลายอย่างแล้ว ถอยไปจนไกลแล้ว ถอยไปจนถึงกับว่า ฝ่ายค้านเอาเวลาอภิปรายไป 23 ชั่วโมง รัฐบาลขอแค่ 7 ชั่วโมง ถือว่าน้อยมาก"

 

ขณะที่นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ผู้นำฝ่ายค้าน ยังคงยืนยันว่า 30 ชั่วโมงเป็นกรอบเวลาที่เหมาะสม และกล่าวว่า "จริงๆ 30 ชั่วโมงก็เป็นสิ่งที่เราถอยกันมา แล้วในมุมมองของฝ่ายค้าน จาก 5 วันก็ถอยลงมาเรื่อยๆ จนเรายึดในตัวเนื้อหา 30 ชั่วโมงเป็นหลัก การจะเดินต่อไปได้ก็ต้องถอยกันคนละก้าว"

 

นายณัฐพงษ์ยังเตือนว่า "ถ้าจะเดินหน้าไปสู่การอภิปรายไม่ไว้วางใจไม่ได้ในสมัยการประชุมนี้ ก็อาจเกิดปรากฏการณ์ที่รัฐบาลไม่ให้เวลากับฝ่ายค้านเพียงพอในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ"

 

กำหนดการและขั้นตอนต่อไป

 

สภาผู้แทนราษฎรมีกำหนดปิดสมัยประชุมสามัญประจำปีครั้งที่สอง พ.ศ. 2568 ในวันที่ 11 เมษายน 2568 และทั้งสองฝ่ายมีกำหนดการประชุมหารือเรื่องการแบ่งเวลาอภิปรายในวันที่ 19 มีนาคม 2568

 

ว่าที่ร้อยตำรวจตรี อาพัทธ์ สุขะนันท์ เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ให้ข้อมูลว่า หากจะให้มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในวันที่ 24 มีนาคม 2568 ต้องเสนอญัตติเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในวันที่ 18 มีนาคม 2568 ถ้าไม่ทันก็จะเป็นการประชุมครม.ในวันที่ 25 มีนาคม 2568 ซึ่งวันอภิปรายก็จะไม่ใช่วันที่ 24 มีนาคม 2568 ดังนั้น หากจะต้องอภิปรายภายในสมัยประชุมนี้ ต้องเข้าครม.ก่อนวันที่ 1 เมษายน 2568

 

สรุปมติวิปร่วม เคาะเวลาอภิปรายไม่ไว้วางใจ 24-25 มี.ค.

 

การประชุมคณะกรรมการประสานงานร่วมสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2568 ที่มีนายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่หนึ่ง เป็นประธาน ได้มีมติกำหนดกรอบเวลาการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล ดังนี้

 

กำหนดการและเวลา

  • วันอภิปราย 24-25 มีนาคม 2568
  • วันลงมติ 26 มีนาคม 2568
  • เวลาฝ่ายค้าน 28 ชั่วโมง
  • เวลาฝ่ายรัฐบาล 7 ชั่วโมง (แบ่งเป็นการประท้วง 2 ชั่วโมง และ ครม.ชี้แจง 5 ชั่วโมง)
  • เวลาประธานฯ 2 ชั่วโมง
  • เริ่มอภิปราย 08.00 น. ของทั้งสองวัน

 

เงื่อนไขพิเศษ

 

  • หากมีการประท้วงพร่ำเพรื่อจนทำให้ฝ่ายค้านใช้เวลาไม่หมดหรืออภิปรายได้ไม่ครบ ต้องให้สิทธิฝ่ายค้านอภิปรายได้แม้จะเกินเวลาที่กำหนดของแต่ละวัน
  • การอภิปรายสามารถยืดเวลาเกินเที่ยงคืนได้
  • หากเวลาฝ่ายค้านใช้ไม่หมด ประธานรับปากจะให้ใช้เวลาให้หมด อาจทำให้ต้องเลื่อนการลงมติไปเป็นวันที่ 27 มีนาคม

 

ข้อตกลงเพิ่มเติม

  • ฝ่ายรัฐบาลขอให้ฝ่ายค้านอภิปรายเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับผลงานของนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรี หลีกเลี่ยงการพาดพิงบุคคลภายนอกโดยไม่จำเป็น
  • นายปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล ประธานฝ่ายค้าน ชี้แจงว่าไม่สามารถแทรกแซงเนื้อหาการอภิปรายของพรรคร่วมฝ่ายค้านอื่นได้
  • ทุกฝ่ายต้องรักษากติกา เพื่อให้การอภิปรายอยู่ในกรอบ 2 วันตามที่กำหนด
  • ทั้งนี้ รัฐบาลมีความพร้อมในการมาตอบข้อชี้แจง โดยนายกรัฐมนตรีติดภารกิจประชุม ครม. ในวันที่ 27 มีนาคม จึงกำหนดการอภิปรายและลงมติให้เสร็จสิ้นภายในวันที่ 26 มีนาคม