นายวีริศ อัมระปาล ผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เปิดเผยว่า ความคืบหน้าการยื่นอุทธรณ์ของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ต่อกรมที่ดิน กรณีมีคำสั่งไม่เพิกถอนเอกสารสิทธิ์ที่ออกทับที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) บริเวณแยกเขากระโดง จ.บุรีรัมย์ จำนวน 995 ฉบับ ครอบคลุมพื้นที่กว่า 5,083 ไร่นั้น
นายวีริศ กล่าวต่อว่า ปัจจุบันรฟท.อยู่ระหว่างร่างหนังสือการฟ้องร้องต่อศาลปกครองในประเด็นใหม่ โดยให้ถอนคำสั่งทางปกครองของกรมที่ดินและกระทรวงมหาดไทยที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย รวมถึงใส่รายละเอียดหลักฐานเพิ่มเติมให้ครบถ้วน
ทั้งนี้รฟท.มีระยะเวลาดำเนินการยื่นฟ้องร้องต่อศาลปกครองภายในระยะเวลา 90 วัน หลังจากได้รับหนังสือจากกระทรวงมหาดไทย
“ที่ผ่านมารฟท.เคยมีการฟ้องถึงศาลปกครอง โดยคำสั่งของศาลปกครองกลางมีคำสั่งให้อธิบดีกรมที่ดินตั้งคณะกรรมการสอบสวนฯตามมาตรา 61 ซึ่งมีประเด็นการฟ้องร้องค่าเสียหายกับกรมที่ดินที่ศาลฯปัดตกไม่รับคำร้อง ทำการยื่นอุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุดของรฟท.ยืดเยื้อกว่า 1 ปี ทั้งนี้รฟท.ต้องดำเนินการฟ้องร้องในประเด็นใหม่ต่อศาลปกครองไม่ให้ซ้ำต่อคดีเดิมที่เคยมีการฟ้องร้อง” นายวีริศ กล่าว
สำหรับประเด็นดังกล่าวสืบเนื่องมาจากศาลปกครองกลางได้มีคำพิพากษา ในคดีหมายเลขแดงที่ 582/2566 ลงวันที่ 30 มีนาคม 2566 ให้อธิบดีกรมที่ดินมีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนตามความในมาตรา 61 วรรคสอง แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน พร้อมทั้งตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับแนวทางหรือวิธีการดำเนินการให้เป็นไปตามคำพิพากษา
ขณะเดียวกันให้การรถไฟฯ (ผู้ฟ้องคดี) ร่วมกับคณะกรรมการสอบสวนฯ ทำการตรวจสอบแนวเขตที่ดินบริเวณเขากระโดง เพื่อหาแนวเขตที่ดินที่เป็นของการรถไฟฯ ตามคำพิพากษาศาลฎีกาและศาลอุทธรณ์ ภาค 3 ซึ่งอธิบดีกรมที่ดิน ได้มีคำสั่งที่ 1195 – 1196/2566 ลงวันที่ 12 พฤษภาคม 2566 ตั้งคณะกรรมการสอบสวนตามความในมาตรา 61 แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน เพื่อดำเนินการตามคำพิพากษาศาลปกครองกลางดังกล่าวแล้ว
นอกจากนี้ศาลปกครองกลางได้วินิจฉัยในกรณีที่การรถไฟฯ ขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้กรมที่ดินและอธิบดีกรมที่ดินร่วมกันเพิกถอนคำสั่งออกหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินที่เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดบุรีรัมย์ออกทับที่ดินของการรถไฟฯ
อย่างไรก็ดีศาลได้มีคำวินิจฉัยไว้ว่า หากผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 (อธิบดีกรมที่ดิน) มีคำสั่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนแล้ว และพิจารณาข้อเท็จจริงได้เป็นเช่นใด ย่อมเป็นอำนาจของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ที่จะดำเนินการมีคำสั่งตามข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นตามที่เห็นสมควร อันเป็นดุลพินิจของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ทั้งนี้ศาลไม่อาจก้าวล่วงได้ ซึ่งผลการพิจารณาของคณะกรรมการสอบสวนฯ