องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) หรือ ACT ออกมาเปิดเผยข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับการโกง "เลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ปี 2568"
โดยพบว่า การซื้อเสียงในครั้งนี้ไม่ได้จำกัดแค่การแจกเงินสดแบบดั้งเดิม แต่ยังมี "วิธีการใหม่" ที่น่าจับตามองอย่างมาก คือ การเพิ่มงบประมาณจ้างบุคลากรในบาง อบจ. อย่างผิดปกติ ซึ่งบางแห่งเพิ่มสูงเกินร้อยละ 40 ของงบประมาณทั้งหมด
นายมานะ นิมิตรมงคล ประธานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) หรือ ACT เปิดเผยถึงกลโกงการเลือกตั้ง อบจ.68 ว่าที่ผ่านมามักเกิดขึ้นจากกลไกการเมืองผ่านเครือข่ายหัวคะแนนและเครือข่ายบ้านใหญ่ที่ถูกจัดวางไว้ครอบคลุมทุกระดับและมีการใช้ควบคู่กับกลไกรัฐผ่านฝ่ายปกครองและเครือข่ายสาธารณะสุข
ขณะที่การทุ่มซื้อเสียงในการเลือกตั้งครั้งนี้ ไม่ได้จำกัดแค่การซื้อด้วยเงินแบบวิธีการเดิมๆ แต่มี “อุบาย” ใหม่ ที่น่าจับตาอย่างยิ่ง นั่นคือ ในปีที่มีการเลือกตั้ง อบจ. มักมีการเพิ่มงบบุคลากร
โดยมีข้อสงสัยว่าเป็นการเพิ่มงบเพื่อจ้างพนักงานจ้าง/ลูกจ้างชั่วคราว ซึ่งไม่เป็นไปตามแผนอัตรากำลัง บาง อบจ. เพิ่มงบบุคลากรเกินร้อยละ 40 ของงบประมาณทั้งหมด ซึ่งขัดต่อมาตรา 35 ตาม พ.ร.บ.ระเบียบบริหารงานบุคคลท้องถิ่น
ทั้งนี้ พบ อบจ.ที่มีสัดส่วนงบบุคลากรปี 2568 เกินร้อยละ 40 ทั้งหมด 20 จังหวัดประกอบด้วย
ในจำนวนนี้ อบจ.ที่มีงบบุคลากรปี 2568 เพิ่มขึ้นจากปี 2567 สูงสุด 5 ลำดับแรก ได้แก่
“ถ้าข้อสงสัยนี้เป็นจริงเท่ากับว่า มีการใช้เงินหลวงสร้างเครือข่ายพวกพ้องมหาศาล เพื่อให้ได้มาซึ่งคะแนนเสียง ส่วนใหญ่เน้นจ้างลูกหลานคนในพื้นที่เป็นลูกจ้างหรือพนักงานชั่วคราว 1 – 2 ปี หลังจากนั้นอาจจ้างต่อหรือเลิกจ้าง พื้นที่ไหนตุกติกทำคะแนนไม่เข้าเป้า คนจากพื้นที่นั้นก็จะถูกเลิกจ้าง” ประธานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชันฯ กล่าวและว่า
นอกจากงบฯจ้างคนแล้ว ยังมีงบจ้างงานถูกใช้จ้างเหมาบริการ เช่น ขุดลอกคูคลอง ดูแลสวนสาธารณะ กวาดถนน มีทั้งที่อบจ. จ้างและจัดสรรงบให้เทศบาลหรืออบต.เป็นงบมูลค่าประมาณหลักแสนบาท หรือน้อยกว่า คนที่ได้รับสัญญาจ้างเหมามักเป็นคนในเครือข่าย เม็ดเงินส่วนนี้เกิดจากความตั้งใจทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีต่ำกว่ารายได้ที่จะเกิดขึ้นจริง เพื่อให้เกิดเงินเหลือใช้กลายเป็นเงินสะสม แล้วขออนุมัติใช้เงินนี้จากสภา อบจ. โดยตั้งเป็นวาระพิเศษหรือวาระจร ทำให้ขาดการศึกษาพิจารณาที่รอบคอบ และชาวบ้านย่อมไม่ได้รับทราบ
“การใช้เงินหลวงสร้างเครือข่ายพวกพ้อง แน่นอนว่าเรื่องแบบนี้มีผู้รู้เห็นจำนวนมาก แต่ไม่กล้าพูดเพราะกลัวกระทบผู้เสียประโยชน์ หรือขัดใจชาวบ้านบางกลุ่ม แม้นักการเมืองที่เป็นคู่แข่งก็ไม่อยากพูด กลัวเสียโอกาส หากวันข้างหน้าตนเป็นผู้ชนะบ้าง”
สำหรับการทุ่มซื้อเสียงผ่านกลไกการเมือง ผ่านเครือข่ายหัวคะแนนในพื้นที่ และเครือข่ายบ้านใหญ่นั้น ผู้สมัครฯ ที่ยังใช้วิธีเดิมๆ อาจหมดค่าใช้จ่ายในการหาเสียง บวกเงินซื้อเสียงและเงินวงพนัน ราว 60 - 300 ล้านบาท ตามขนาดจังหวัดและความเข้มข้นในการแข่งขัน หลายจังหวัดใช้ อสม. บางคนคุมเสียงในพื้นที่เล็กๆ เพราะเครดิตดี เป็นผู้หญิง คนเชื่อถือมาก ต่างจากกำนันผู้ใหญ่บ้านที่ติดภาพว่าเป็นคนมีตำแหน่ง มีอิทธิพล ข่มชาวบ้าน หรือมีประวัติอมเงิน
“เงินเดือนนายก อบจ. 75,550 บาท รวม 4 ปีเป็นเงิน 3,624,000 บาท บวกเบี้ยประชุมแล้วยังมองไม่ออกว่าจะถอนทุนคืนจากไหน รู้แต่คนไทยร้อยละ 95.4 บอกว่า ใน อบจ. มีการโกงมโหฬาร”
วิธีการซื้อเสียงแบบดั้งเดิมจะมีการวางเครือข่ายหัวคะแนนเดินจดโพยรายชื่อผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งตามพื้นที่ต่างๆ แล้วแจกเงินสดหรือโอนผ่านพร้อมเพย์ ในอัตราตั้งแต่ 200- 3,000 บาท เฉลี่ยทั่วประเทศ 900 บาท กรณีการไปฟังปราศรัยชาวบ้านจะได้เงินอีกครั้งละ 300 บาท ส่วนรถรับจ้างที่ขนคนได้เงิน 1,500 บาท หลายพื้นที่จะมีการบอกผู้สมัครไว้เลยว่าขอไม่ให้จัดเวทีซ้อนกันเพื่อจะได้ไปหลายงาน บางวันมีรอบเที่ยง บ่าย ค่ำ ก็ได้รับเงิน 3 เวทีตลอดวัน
“ในอดีตชาวบ้านร้อยละ 80 จะรักษาคำพูดเมื่อรับเงินมาแล้ว แต่จากการสำรวจล่าสุดของมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย พบว่าประชาชนร้อยละ 56 เป็นปลาที่กินเหยื่อแต่ไม่กินเบ็ด คือรับเงินแต่ไม่ลงคะแนนให้ โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่อายุ 18 ถึง 40 ปี”
อีกวิธี เป็นการเปิดบ่อนพนันเดิมพันว่าใครจะชนะ ผู้บงการจะวางกลยุทธ์ราคาเดิมพันต่างกันตามสถานการณ์และเขตพื้นที่ เช่น ในกรณีผู้สมัครฯ ยังไม่มั่นใจว่าตนจะชนะเลือกตั้ง ช่วงเริ่มต้นจะหยั่งเสียงด้วยการตั้งราคาต่อรอง 10:3 เพื่อดูศักยภาพคู่แข่ง ถ้ามีคนแทงมากแปลว่ามีคะแนนเสียงดี แล้วขยับราคาต่อรองขึ้นเป็น 2:1 หรือ 3:2 จนไม่มีราคาต่อ
หากพบว่าคู่แข่งมีคะแนนเสียงดีมากแล้ว วิธีการนี้จะจูงใจชาวบ้านให้แทงข้างตนมากๆ จะได้ไปชักชวนคนอื่นๆ มาลงคะแนนให้ตนเพื่อได้เงินเดิมพัน ในกรณีผู้บงการมั่นใจว่าตนชนะเลือกตั้งแน่ จะแอบวางเดิมพันด้วยเพื่อหวังกำไรมาคืนทุน
คนไทยร้อยละ 68 รู้ว่ามีการซื้อเสียงเกิดขึ้น แล้วกกต.หรือสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง รับทราบหรือไม่ ? ข้อมูลเลือกตั้งนายก อบจ. ปี 2563 มีเรื่องร้องเรียนสู่ กกต. 718 เรื่อง แต่ส่งฟ้องศาลเพียง 47 เรื่อง หรือร้อยละ 6.5 เท่านั้น ในจำนวนนี้มีผู้สมัครฯ ตกเป็นจำเลย ถูกลงโทษอาญาและเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งเพียง 4 คดี นอกนั้นเป็นหัวคะแนนหรือใครก็ไม่รู้
กกต. เคยชี้แจงว่าเหตุที่ดำเนินคดีผู้สมัครที่ซื้อเสียงได้น้อยมาก เพราะไม่มีใครแจ้งหรือให้ข้อมูล ปัญหานี้เกิดขึ้นเพราะประชาชนไม่เชื่อว่า กกต. จะกล้าเอาจริงและปกปิดตัวตนผู้ร้องเรียนได้ การร้องเรียนจังดูเป็นเรื่องไร้ค่า เพราะคดีเกือบทั้งหมดไม่สามารถสาวถึงตัวบงการ แม้จะชัดว่าใครคือผู้ได้ประโยชน์จากการซื้อเสียง คนชนะเลือกตั้งกลับตรวจสอบคุณสมบัติไม่ผ่าน เช่น ติดคดี มีประวัติต้องห้าม ไม่ไปใช้สิทธิเลือกตั้งครั้งก่อน ฯลฯ
“แน่นอนว่าหาก กกต. ไม่ทำงานเชิงรุก การซื้อเสียงและโกงเลือกตั้งจะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ” ประธานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชันฯ กล่าว