ผ่ากลโกงซื้อเสียง "เลือกตั้งอบจ. 68" วิธีการใหม่ งบฯจ้างคนทุบสถิติ

16 ม.ค. 2568 | 11:28 น.
อัปเดตล่าสุด :16 ม.ค. 2568 | 11:40 น.

องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน คาดเลือกตั้ง อบจ. ปี 2568 ซื้อเสียงทะลุ 300 ล้าน พร้อมแฉกลโกง "วิธีการใหม่" ที่ใช้งบหลวงแทนเงินสด แฉ 20 จังหวัด เพิ่มงบบุคลากรเกินปกติ

องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) หรือ ACT ออกมาเปิดเผยข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับการโกง "เลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ปี 2568"

โดยพบว่า การซื้อเสียงในครั้งนี้ไม่ได้จำกัดแค่การแจกเงินสดแบบดั้งเดิม แต่ยังมี "วิธีการใหม่" ที่น่าจับตามองอย่างมาก คือ การเพิ่มงบประมาณจ้างบุคลากรในบาง อบจ. อย่างผิดปกติ ซึ่งบางแห่งเพิ่มสูงเกินร้อยละ 40 ของงบประมาณทั้งหมด

 

20 อบจ. เพิ่มงบบุคลากรผิดปกติ 

นายมานะ นิมิตรมงคล ประธานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) หรือ ACT เปิดเผยถึงกลโกงการเลือกตั้ง อบจ.68 ว่าที่ผ่านมามักเกิดขึ้นจากกลไกการเมืองผ่านเครือข่ายหัวคะแนนและเครือข่ายบ้านใหญ่ที่ถูกจัดวางไว้ครอบคลุมทุกระดับและมีการใช้ควบคู่กับกลไกรัฐผ่านฝ่ายปกครองและเครือข่ายสาธารณะสุข  

ขณะที่การทุ่มซื้อเสียงในการเลือกตั้งครั้งนี้ ไม่ได้จำกัดแค่การซื้อด้วยเงินแบบวิธีการเดิมๆ แต่มี “อุบาย” ใหม่ ที่น่าจับตาอย่างยิ่ง นั่นคือ ในปีที่มีการเลือกตั้ง อบจ. มักมีการเพิ่มงบบุคลากร

โดยมีข้อสงสัยว่าเป็นการเพิ่มงบเพื่อจ้างพนักงานจ้าง/ลูกจ้างชั่วคราว ซึ่งไม่เป็นไปตามแผนอัตรากำลัง บาง อบจ. เพิ่มงบบุคลากรเกินร้อยละ 40 ของงบประมาณทั้งหมด ซึ่งขัดต่อมาตรา 35 ตาม พ.ร.บ.ระเบียบบริหารงานบุคคลท้องถิ่น 

ทั้งนี้  พบ อบจ.ที่มีสัดส่วนงบบุคลากรปี 2568 เกินร้อยละ 40 ทั้งหมด 20 จังหวัดประกอบด้วย 

  • ศรีสะเกษ นราธิวาส มหาสารคาม (เพิ่มเท่ากัน ร้อยละ 57)
  • มุกดาหาร (ร้อยละ 55)
  • พิจิตร (ร้อยละ 54)
  • ชัยภูมิ (ร้อยละ 51)
  • กาฬสินธุ์ (ร้อยละ 50)
  • สกลนคร (ร้อยละ 49)
  • หนองบัวลำภู (ร้อยละ 48)
  • พัทลุง นครราชสีมา (ร้อยละ 47)
  • ยะลา ร้อยเอ็ด ขอนแก่น (ร้อยละ 46)
  • อำนาจเจริญ น่าน (ร้อยละ 45)
  • แพร่ อุตรดิตถ์ (ร้อยละ 43)
  • สระแก้ว พะเยา (ร้อยละ 42)

ในจำนวนนี้ อบจ.ที่มีงบบุคลากรปี 2568 เพิ่มขึ้นจากปี 2567 สูงสุด 5 ลำดับแรก ได้แก่

  1. ขอนแก่น 650 ล้านบาท
  2. ร้อยเอ็ด 433 ล้านบาท
  3. นราธิวาส 360 ล้านบาท
  4. มหาสารคาม 355 ล้านบาท
  5. ชลบุรี 335 ล้านบาท

“ถ้าข้อสงสัยนี้เป็นจริงเท่ากับว่า มีการใช้เงินหลวงสร้างเครือข่ายพวกพ้องมหาศาล เพื่อให้ได้มาซึ่งคะแนนเสียง ส่วนใหญ่เน้นจ้างลูกหลานคนในพื้นที่เป็นลูกจ้างหรือพนักงานชั่วคราว 1 – 2 ปี หลังจากนั้นอาจจ้างต่อหรือเลิกจ้าง พื้นที่ไหนตุกติกทำคะแนนไม่เข้าเป้า คนจากพื้นที่นั้นก็จะถูกเลิกจ้าง” ประธานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชันฯ กล่าวและว่า   

นอกจากงบฯจ้างคนแล้ว ยังมีงบจ้างงานถูกใช้จ้างเหมาบริการ เช่น ขุดลอกคูคลอง ดูแลสวนสาธารณะ กวาดถนน มีทั้งที่อบจ. จ้างและจัดสรรงบให้เทศบาลหรืออบต.เป็นงบมูลค่าประมาณหลักแสนบาท หรือน้อยกว่า คนที่ได้รับสัญญาจ้างเหมามักเป็นคนในเครือข่าย เม็ดเงินส่วนนี้เกิดจากความตั้งใจทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีต่ำกว่ารายได้ที่จะเกิดขึ้นจริง เพื่อให้เกิดเงินเหลือใช้กลายเป็นเงินสะสม แล้วขออนุมัติใช้เงินนี้จากสภา อบจ. โดยตั้งเป็นวาระพิเศษหรือวาระจร ทำให้ขาดการศึกษาพิจารณาที่รอบคอบ และชาวบ้านย่อมไม่ได้รับทราบ 

“การใช้เงินหลวงสร้างเครือข่ายพวกพ้อง แน่นอนว่าเรื่องแบบนี้มีผู้รู้เห็นจำนวนมาก แต่ไม่กล้าพูดเพราะกลัวกระทบผู้เสียประโยชน์ หรือขัดใจชาวบ้านบางกลุ่ม แม้นักการเมืองที่เป็นคู่แข่งก็ไม่อยากพูด กลัวเสียโอกาส หากวันข้างหน้าตนเป็นผู้ชนะบ้าง” 

สำหรับการทุ่มซื้อเสียงผ่านกลไกการเมือง ผ่านเครือข่ายหัวคะแนนในพื้นที่ และเครือข่ายบ้านใหญ่นั้น ผู้สมัครฯ ที่ยังใช้วิธีเดิมๆ อาจหมดค่าใช้จ่ายในการหาเสียง บวกเงินซื้อเสียงและเงินวงพนัน ราว 60 - 300 ล้านบาท ตามขนาดจังหวัดและความเข้มข้นในการแข่งขัน หลายจังหวัดใช้ อสม. บางคนคุมเสียงในพื้นที่เล็กๆ เพราะเครดิตดี เป็นผู้หญิง คนเชื่อถือมาก ต่างจากกำนันผู้ใหญ่บ้านที่ติดภาพว่าเป็นคนมีตำแหน่ง มีอิทธิพล ข่มชาวบ้าน หรือมีประวัติอมเงิน 

“เงินเดือนนายก อบจ. 75,550 บาท รวม 4 ปีเป็นเงิน 3,624,000 บาท บวกเบี้ยประชุมแล้วยังมองไม่ออกว่าจะถอนทุนคืนจากไหน รู้แต่คนไทยร้อยละ 95.4 บอกว่า ใน อบจ. มีการโกงมโหฬาร”

วิธีการซื้อเสียงแบบดั้งเดิมจะมีการวางเครือข่ายหัวคะแนนเดินจดโพยรายชื่อผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งตามพื้นที่ต่างๆ แล้วแจกเงินสดหรือโอนผ่านพร้อมเพย์  ในอัตราตั้งแต่ 200- 3,000 บาท เฉลี่ยทั่วประเทศ 900 บาท  กรณีการไปฟังปราศรัยชาวบ้านจะได้เงินอีกครั้งละ  300 บาท ส่วนรถรับจ้างที่ขนคนได้เงิน 1,500 บาท หลายพื้นที่จะมีการบอกผู้สมัครไว้เลยว่าขอไม่ให้จัดเวทีซ้อนกันเพื่อจะได้ไปหลายงาน บางวันมีรอบเที่ยง บ่าย ค่ำ ก็ได้รับเงิน 3 เวทีตลอดวัน

“ในอดีตชาวบ้านร้อยละ 80 จะรักษาคำพูดเมื่อรับเงินมาแล้ว แต่จากการสำรวจล่าสุดของมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย พบว่าประชาชนร้อยละ 56 เป็นปลาที่กินเหยื่อแต่ไม่กินเบ็ด คือรับเงินแต่ไม่ลงคะแนนให้ โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่อายุ 18 ถึง 40 ปี” 

อีกวิธี เป็นการเปิดบ่อนพนันเดิมพันว่าใครจะชนะ ผู้บงการจะวางกลยุทธ์ราคาเดิมพันต่างกันตามสถานการณ์และเขตพื้นที่ เช่น ในกรณีผู้สมัครฯ ยังไม่มั่นใจว่าตนจะชนะเลือกตั้ง ช่วงเริ่มต้นจะหยั่งเสียงด้วยการตั้งราคาต่อรอง 10:3 เพื่อดูศักยภาพคู่แข่ง ถ้ามีคนแทงมากแปลว่ามีคะแนนเสียงดี แล้วขยับราคาต่อรองขึ้นเป็น 2:1 หรือ 3:2 จนไม่มีราคาต่อ

หากพบว่าคู่แข่งมีคะแนนเสียงดีมากแล้ว  วิธีการนี้จะจูงใจชาวบ้านให้แทงข้างตนมากๆ จะได้ไปชักชวนคนอื่นๆ มาลงคะแนนให้ตนเพื่อได้เงินเดิมพัน  ในกรณีผู้บงการมั่นใจว่าตนชนะเลือกตั้งแน่ จะแอบวางเดิมพันด้วยเพื่อหวังกำไรมาคืนทุน 

คนไทยร้อยละ 68 รู้ว่ามีการซื้อเสียงเกิดขึ้น แล้วกกต.หรือสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง รับทราบหรือไม่ ? ข้อมูลเลือกตั้งนายก อบจ. ปี 2563 มีเรื่องร้องเรียนสู่ กกต. 718 เรื่อง แต่ส่งฟ้องศาลเพียง 47 เรื่อง หรือร้อยละ 6.5 เท่านั้น ในจำนวนนี้มีผู้สมัครฯ ตกเป็นจำเลย ถูกลงโทษอาญาและเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งเพียง 4 คดี นอกนั้นเป็นหัวคะแนนหรือใครก็ไม่รู้ 

กกต. เคยชี้แจงว่าเหตุที่ดำเนินคดีผู้สมัครที่ซื้อเสียงได้น้อยมาก เพราะไม่มีใครแจ้งหรือให้ข้อมูล ปัญหานี้เกิดขึ้นเพราะประชาชนไม่เชื่อว่า กกต. จะกล้าเอาจริงและปกปิดตัวตนผู้ร้องเรียนได้ การร้องเรียนจังดูเป็นเรื่องไร้ค่า เพราะคดีเกือบทั้งหมดไม่สามารถสาวถึงตัวบงการ แม้จะชัดว่าใครคือผู้ได้ประโยชน์จากการซื้อเสียง คนชนะเลือกตั้งกลับตรวจสอบคุณสมบัติไม่ผ่าน เช่น ติดคดี มีประวัติต้องห้าม ไม่ไปใช้สิทธิเลือกตั้งครั้งก่อน ฯลฯ  

“แน่นอนว่าหาก กกต. ไม่ทำงานเชิงรุก การซื้อเสียงและโกงเลือกตั้งจะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ” ประธานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชันฯ กล่าว