“สุดารัตน์"ขอทำภารกิจครั้งสุดท้าย ปลดล็อกขัดแย้ง ช่วยคนไทยหายจน หมดหนี้

20 ก.ย. 2565 | 12:08 น.
อัปเดตล่าสุด :20 ก.ย. 2565 | 19:37 น.

“สุดารัตน์”เปิดตัวว่าที่ผุ้สมัครฝั่งธนฯ ขอทำภารกิจสำคัญครั้งสุดท้ายของชีวิต ปลดล็อกความขัดแย้ง เปลี่ยนประเทศ ช่วยให้คนไทย หายจนหมดหนี้ มีรายได้อย่างยั่งยืน ชูนโยบาย 30 บาทสุขภาพดีถ้วนหน้า บำนาญประชาชนเดือนละ 3,000 บาท

วันที่ 20 ก.ย. 2565 คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ หัวหน้าพรรคไทยสร้างไทย พร้อมด้วยนายภัชริ นิจสิริภัช คณะกรรมการบริหารพรรค และว่าที่ผู้สมัครส.ส.เขตธนบุรี - คลองสาน นำทีมไทยสร้างไทย ลงพื้นที่ให้บริการตัดผมฟรี และบริการตัดแว่นตาฟรีกว่า 1,500 ชุดให้กับพี่น้องประชาชนเขตธนบุรี ที่ตลาดพลู โดยมีพี่น้องประชาชนเข้าร่วมอย่างคึกคัก

 

คุณหญิงสุดารัตน์ กล่าวว่าพรรคไทยสร้างไทย เป็นภารกิจสำคัญครั้งสุดท้ายของชีวิต ที่ตนจะขออาสานำประสบการณ์กว่า 31 ปี มารับใช้พี่น้องประชาชน เพื่อปลดล็อก เปลี่ยนประเทศ ยุติความขัดแย้งทางการเมืองกว่า 16 ปี ที่”เลือกฝั่งหนึ่งก็ติดหล่ม เลือกอีกฝั่งก็ติดล๊อค” ทำให้ประเทศไม่สามารถเดินต่อไปข้างหน้าได้

  คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ หัวหน้าพรรคไทยสร้างไทย

คุณหญิงสุดารัตน์ กล่าวว่า ถึงเวลาแล้ว ที่เราจะต้องปลดล็อก เปลี่ยนประเทศ เพื่อทำให้คนไทย “หายจน หมดหนี้ มีรายได้อย่างยั่งยืน” โดยเฉพาะคนตัวเล็กที่ถูกกดทับจากแนวคิด อำนาจนิยม และระบบรัฐราชการ ให้สามารถทำมาหากินได้เร็วที่สุด แข็งแรงที่สุด จึงเป็นความตั้งใจ และปณิธานของพรรค ที่จะเป็นเสาเข็ม และสะพานเชื่อมคนทุกช่วงวัย มาก่อร่างสร้างประเทศไทย เพื่อส่งมอบประเทศไทยที่ดีที่สุดให้กับลูกหลานของเรา

 

 จึงขอฝากคนหนุ่มไฟแรงที่เป็นลูกหลานของพี่น้องชาวธนบุรี-คลองสาน “ภัชริ นิจสิริภัช “ เป็นว่าที่ผู้สมัครส.ส.เขตธนบุรี-คลองสาน ไว้รับใช้พี่น้องประชาชน
พรรคไทยสร้างไทยมีหลักนโยบายดูแลตั้งแต่ “เกิดจนแก่” ให้พี่น้องประชาชนได้มี “ชีวิตที่มีคุณภาพอย่างมีศักดิ์ศรี” เพื่อตอบโจทย์ให้ “ประชาชนเป็นศูนย์กลางอย่างแท้จริง” สร้างสุขภาพให้คนไทย “แข็งแรงก่อนป่วย รวยก่อนแก่” ด้วยนโยบาย 30 บาทสุขภาพดีถ้วนหน้า ซึ่งเป็นการปรับปรุงโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค ให้คนไทยสามารถเข้าถึงการบริการโรงพยาบาลอย่างสะดวก และรวดเร็ว

       

 ด้วยการนำเทคโนโลยีผ่านแพลตฟอร์มระบบ “ไทยสร้างไทย Digital Health” เพื่อดูแลเรื่องการสร้างสุขภาพด้วยนโยบายบำนาญประชาชนเดือนละ 3,000 บาท และการรักษาโดยประชาชนสามารถเลือกโรงพยาบาลได้เอง
 

 

คุณหญิงสุดารัตน์ กล่าวว่า ประเทศไทยเป็นประเทศกำลังพัฒนาประเทศแรกในโลก ที่เข้าสู่สังคมผู้สูงวัยแบบเต็มขั้น แต่ผู้สูงอายุส่วนใหญ่ “แก่ก่อนรวย” ทั้งที่ผู้สูงอายุทำคุณูปการให้กับประเทศ ดูแลครอบครัว ทำงานหนักมาตลอดชีวิต ซึ่งนโยบายบำนาญประชาชนเดือนละ 3,000 บาท จะได้ประโยชน์ถึง 4 ประการ ดังนี้

 

1.ผู้สูงอายุที่มีมีรายได้ไม่เพียงพอต่อการยังชีพสามารถดำรงชีพได้อย่างมีศักดิ์ศรี

 

2.เป็นการลดภาระคนหนุ่มคนสาวที่ต้องทำงานเลี้ยงดูพ่อแม่ ให้คนวัยทำงานสามารถดูแลครอบครัวได้อย่างเต็มที่

 

3.ผู้สูงอายุที่ไม่ใช่ผู้ป่วยติดเตียง หรือผู้พิการ ต้องไปเข้าโปรแกรมสร้างสุขภาพให้แข็งแรงที่ศูนย์สุขภาพที่รัฐจัดหาให้ใกล้บ้าน โดยตั้งเป้าลด 3 โรคสำคัญ ประกอบไปด้วยโรคความดันสูง โรคไขมันอุดตัน และโรคเบาหวาน เพื่อให้ผู้สูงอายุมีสุขภาพแข็งแรงสามารถทำงานสร้างรายได้ต่อไป และยังช่วยลดภาระการรักษาพยาบาลของประเทศและครอบครัวลงได้จำนวนมหาศาล

 

และ4.นโยบายบำนาญประชาชน 3,000 บาท จะเป็นกำลังซื้อมหาศาลที่จะทำให้เศรษฐกิจฐานรากฟื้นตัว และเกิดหมุนเวียนในชุมชน จากการที่ผู้สูงวัยก็จะนำไปใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน ส่งผลทำให้เศรษฐกิจของประเทศโดยรวมฟื้นตัวยังแข็งแรงตามมาอีกด้วย