ปีนี้ผู้บริโภคทั่วโลกอาจต้องเผชิญกับราคาสินค้าเพิ่มขึ้นสูงสุดถึง 20% อันเป็นผลมาจากหลายปัจจัยที่ซับซ้อนและเชื่อมโยงกัน ตั้งแต่ความตึงเครียดทางการเมือง การหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทาน ไปจนถึงการเก็บภาษีนำเข้าใหม่ในสหรัฐฯ ตามการเตือนของสถาบัน Chartered Institute of Procurement and Supply (CIPS)
สินค้าพื้นฐานที่ทุกครัวเรือนต้องใช้ เช่น อาหาร เครื่องดื่ม รวมถึงสินค้าอุตสาหกรรม เช่น เครื่องจักรและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ กำลังถูกคาดการณ์ว่าจะมีราคาสูงขึ้นอย่างมาก สาเหตุสำคัญมาจากปัญหาที่ซ้อนทับกันหลายด้าน ตั้งแต่การขาดแคลนวัตถุดิบ ความล่าช้าในการขนส่ง ไปจนถึงต้นทุนที่เพิ่มขึ้นในทุกขั้นตอนของห่วงโซ่อุปทาน
ความตึงเครียดในตะวันออกกลางเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อการขนส่งสินค้า การโจมตีเรือพาณิชย์ในทะเลแดงโดยกลุ่มกบฏฮูตีทำให้บริษัทขนส่งต้องเลี่ยงเส้นทางไปยังแหลมกู๊ดโฮป ซึ่งนอกจากจะเพิ่มระยะเวลาแล้ว ยังเพิ่มต้นทุนการขนส่งอย่างมีนัยสำคัญ
อีกทั้ง การประท้วงของแรงงานท่าเรือในสหรัฐฯ ที่ยืดเยื้อจากปี 2567 ก็ทำให้การจัดการสินค้าที่ท่าเรือหลักๆ ของประเทศล่าช้า สถานการณ์เหล่านี้ส่งผลให้สินค้าหลายรายการขาดตลาดและราคาสูงขึ้น
ความเป็นไปได้ที่โดนัลด์ ทรัมป์จะกลับมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในปี 2568 เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่เพิ่มความกังวลให้กับตลาดโลก นโยบายที่เสนอ เช่น การเก็บภาษีศุลกากร 10% กับสินค้านำเข้าทั่วโลก และ 60% กับสินค้าจากจีน อาจจุดชนวนให้เกิดสงครามการค้าและเพิ่มต้นทุนการค้าในระดับที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
แม้ว่าผู้ประกอบการบางรายจะพยายามเร่งนำเข้าสินค้าล่วงหน้าเพื่อหลีกเลี่ยงภาษี แต่ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าการสำรองสินค้าจะช่วยบรรเทาผลกระทบได้เพียงระยะสั้นเท่านั้น
ราคาสินค้าประจำวัน เช่น อาหารและเครื่องดื่ม เป็นกลุ่มสินค้าที่จะได้รับผลกระทบโดยตรงมากที่สุด ผู้บริโภคที่ต้องแบกรับค่าครองชีพที่สูงขึ้นจากภาวะเงินเฟ้อในปัจจุบันอาจต้องเผชิญแรงกดดันที่เพิ่มขึ้น
เบน ฟาร์เรลล์ ซีอีโอของ CIPS ชี้ว่า "ผู้บริโภคจะต้องเตรียมตัวเผชิญกับความท้าทายเหล่านี้ในขณะที่ผู้ผลิตและผู้ค้าต่างพยายามส่งผ่านต้นทุนที่เพิ่มขึ้น"
ในขณะที่ผู้บริโภคได้รับผลกระทบโดยตรง ธุรกิจก็ต้องรับมือกับการเพิ่มขึ้นของต้นทุนวัตถุดิบ เช่น สารเคมี โลหะ และเครื่องจักร ที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นถึง 20% ภายในปีหน้า ธุรกิจขนาดเล็กและกลางอาจต้องเผชิญความท้าทายในการคงความสามารถในการแข่งขัน โดยเฉพาะในตลาดที่มีการแข่งขันสูง
ผู้เชี่ยวชาญเสนอแนะว่าการกระจายแหล่งผลิต การปรับปรุงระบบการจัดการห่วงโซ่อุปทาน และการลดการพึ่งพาการนำเข้าจากต่างประเทศ เป็นวิธีการสำคัญที่อาจช่วยลดผลกระทบในระยะยาว
อย่างไรก็ตาม การแก้ไขปัญหาเหล่านี้จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกฝ่าย ทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อสร้างเสถียรภาพในตลาดโลก
อ้างอิง: Theguardian