หุ้น RS ดิ่งติดฟลอร์ ‘เฮียฮ้อ’ถูกบังคับขายมาร์เก็ตแคปวูบ 6 พันล้าน

10 ม.ค. 2568 | 07:00 น.

หุ้น RS ดิ่งแรงติดฟลอร์หลังกระแสข่าว ‘เฮียฮ้อ’ สุรชัย เชษฐโชติศักดิ์ ผู้ถือหุ้นใหญ่ถูกบังคับขายหุ้น ราคาร่วง 30% ฉุดมาร์เก็ตแคปวูบกว่า 6 พันล้านบาท ขณะที่บริษัทแจงไม่กระทบการดำเนินธุรกิจ-สถานะการเงิน พร้อมตรวจสอบข้อเท็จจริง

ราคาหุ้น RS ทรุดหนักต่อเนื่องติดต่อกันต้อนรับสัปดาห์แรกของปีใหม่ หลังมีกระแสข่าวว่า “เฮียฮ้อ” นายสุรชัย เชษฐโชติศักดิ์ ผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 1 ถูกบังคับขายหุ้นจากการจำนำนอกตลาด ส่งผลให้ราคาหุ้นร่วงติดฟลอร์ต่อเนื่อง โดย ณ เวลา 10.35 น. ของวันที่ 9 มกราคม 2568 ราคาหุ้น RS ปรับตัวลดลง 30% หรือ 0.78 บาท มาอยู่ที่ระดับ 1.82 บาท ทำให้มูลค่าตลาด หรือ มาร์เก็ตแคปหายไปกว่า 6,110 ล้านบาท

จากการตรวจสอบข้อมูลการถือครองหุ้น “เฮียฮ้อ” ถือหุ้น RS จำนวน 487,099,998 หุ้น คิดเป็น 22.32% ของหุ้นทั้งหมด บริษัทออกแถลงการณ์ชี้แจงว่า ราคาหุ้นที่ปรับตัวลดลงเกิดจากกลไกตลาดและปัจจัยภายนอก ไม่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจและสถานะทางการเงิน ส่วนประเด็นการถูกบังคับขายหุ้น บริษัทยังไม่ทราบข้อเท็จจริงและอยู่ระหว่างการตรวจสอบ

ทั้งนี้ เมื่อย้อนไปในช่วงเดือนกันยายน 2566 “เฮียฮ้อ” เคยมีประเด็นเกี่ยวกับการกู้ยืมเงินจากบริษัท ซิก้า อินโนเวชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ZIGA วงเงิน 104 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ย 15% ระยะเวลา 10 เดือน โดยใช้หุ้น GIFT (ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น RSXYZ) จำนวน 32 ล้านหุ้น หรือ 2.42% เป็นหลักประกัน

ล่าสุดผลการดำเนินงานของ RS ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2567 มีรายได้รวม 2,767.43 ล้านบาท ลดลง 6.12% จากปีก่อน กำไรสุทธิอยู่ที่ 12.21 ล้านบาท ลดลง 99.10% โดยในไตรมาส 3/2567 มีกำไรสุทธิ 189 ล้านบาท จากกำไรพิเศษจากขายเงินลงทุน

ด้านฐานะการเงิน ณ สิ้นไตรมาส 3/2567 บริษัทมีหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ย 3,839 ล้านบาท ประกอบด้วยเงินกู้ระยะสั้น 1,507 ล้านบาท เงินกู้ระยะยาว 1,835 ล้านบาท หนี้สินที่ครบกำหนดชำระภายใน 1 ปี 502 ล้านบาท และหนี้สินตามสัญญาเช่า 497 ล้านบาท ขณะที่มีส่วนของผู้ถือหุ้น 3,141 ล้านบาท คิดเป็นอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน 1.5 เท่า

การปรับตัวลดลงของราคาหุ้น RS ส่งผลกระทบต่อผู้ถือหุ้นรายย่อยจำนวน 8,506 ราย ที่ถือหุ้นรวมกัน 59.69% โดยมูลค่าตามราคาตลาด ณ ปัจจุบันอยู่ที่ 5,673.77 ล้านบาท ลดลงอย่างมีนัยสำคัญจากมูลค่าตลาดในปี 2564 ที่เคยสูงถึง 21,103.18 ล้านบาท

ปรากฏการณ์ RS Effect

สำหรับปรากฏการณ์หุ้นถูกบังคับขายในตลาดหลักทรัพย์ไทยไม่ใช่เรื่องใหม่ โดยก่อนหน้านี้เคยเกิดกับหุ้น YGG ของบริษัท อิ๊กดราซิล กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ที่ “ธนัช จุวิวัฒน์” ผู้ถือหุ้นใหญ่สัดส่วน 41.143% ถูกบังคับขายจนเหลือเพียง 0.96% และกรณีของ SABUY ที่ถูกบังคับขายหุ้น SBNEXT และ AS จนสัดส่วนการถือหุ้นลดลงต่ำกว่า 10%

นักวิเคราะห์ ประเมินว่า แม้ไตรมาส 4/2567 จะเป็นไฮซีซันของธุรกิจอีคอมเมิร์ซและเอนเทอร์เทนเมนต์ แต่บริษัทอาจยังมีผลขาดทุน แม้จะลดลงจากไตรมาสก่อน เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภคและภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ขณะที่ฐานะการเงินยังไม่แข็งแรงภายใต้สภาวะที่ผลประกอบการมีแนวโน้มขาดทุนต่อเนื่อง

หากพิจารณาการเปลี่ยนแปลงของราคาหุ้น RS ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา จะเห็นแนวโน้มการปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยราคาเฉลี่ยในปี 2564 อยู่ที่ 10.20 บาท ปี 2565 ลดลงเหลือ 7.98 บาทปี 2566 อยู่ที่ 7.29 บาท และปี 2567 เหลือเพียง 6.26 บาท สะท้อนความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่ลดลง

ผลการดำเนินงานของบริษัทในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (2564-2566) แสดงให้เห็นความผันผวน โดยรายได้รวมค่อนข้างทรงตัวที่ระดับ 3,500-3,800 ล้านบาท แต่กำไรสุทธิมีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญ จาก 127.35 ล้านบาทในปี 2564 เพิ่มขึ้นเป็น 1,395.23 ล้านบาทในปี 2566 อย่างไรก็ตาม ผลประกอบการ 9 เดือนแรกของปี 2567 กลับทรุดหนัก มีกำไรสุทธิเพียง 12.21 ล้านบาท ลดลง 99.10% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

ขณะที่บริษัทในเครือ RSXYZ ก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน โดยราคาหุ้นปรับตัวลดลงอย่างหนักในช่วงต้นปี 2568 จาก 1.55 บาทเมื่อเปิดตลาดวันแรก เหลือเพียง 0.80 บาท ณ วันที่ 8 มกราคม หรือลดลง 48.38% สอดคล้องกับทิศทางของหุ้นแม่

ส่วนผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนวิเคราะห์ว่า การปรับตัวลดลงของราคาหุ้นเกิดจากหลายปัจจัย ทั้งผลประกอบการที่ถดถอย ภาระหนี้สินที่อยู่ในระดับสูง และความกังวลเกี่ยวกับการถูกบังคับขายหุ้นของผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ประกอบกับการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภคและภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ส่งผลให้แนวโน้มการฟื้นตัวในระยะสั้นยังมีความไม่แน่นอน

ขณะที่การปรับโครงสร้างธุรกิจเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงยังอยู่ระหว่างดำเนินการ แม้ไตรมาสสุดท้ายของปี 2567 จะเป็นช่วงไฮซีซันของธุรกิจอีคอมเมิร์ซและเอนเทอร์เทนเมนต์ แต่คาดว่าบริษัทจะยังคงมีผลขาดทุน แม้จะลดลงจากไตรมาสก่อนหน้า

สำหรับผู้ถือหุ้นรายย่อยที่ได้รับผลกระทบ ควรติดตามความคืบหน้าการตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการถูกบังคับขายหุ้นของผู้ถือหุ้นใหญ่ และพิจารณาปัจจัยพื้นฐานของบริษัทประกอบการตัดสินใจลงทุน โดยเฉพาะความสามารถในการทำกำไรและการบริหารจัดการหนี้สิน

เหตุการณ์ครั้งนี้ถือเป็นบทเรียนสำคัญสำหรับตลาดทุนไทย ในการพิจารณามาตรการป้องกันและรับมือกับการถูกบังคับขายหุ้นที่อาจส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนในวงกว้าง เช่นเดียวกับกรณีของ YGG และ SABUY ที่เคยเกิดขึ้นก่อนหน้านี้

ด้านมุมมองของนักวิเคราะห์การเงินยังระบุว่า ความท้าทายสำคัญของ RS คือการปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของอุตสากรรมสื่อและความบันเทิง โดยบริษัทต้องเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงจากแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งระดับโลก และพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป

เช่นเดียวกับสถานะทางการเงินของบริษัทแสดงให้เห็นถึงความเปราะบาง โดยเฉพาะอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนที่ 1.5 เท่า และเงินสดที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ จาก 685.47 ล้านบาทในปี 2566 เหลือ 305.91 ล้านบาทในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2567 ซึ่งอาจส่งผลต่อสภาพคล่องในการดำเนินธุรกิจ

โดยมูลค่าตลาดของ RS ลดลงอย่างต่อเนื่องจาก 21,103.18 ล้านบาทในปี 2564 เหลือเพียง 11,893.09 ล้านบาทในปี 2567 สะท้อนถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่ลดลง โดยเฉพาะหลังจากมีข่าวการถูกบังคับขายหุ้นของผู้ถือหุ้นรายใหญ่

อย่างไรก็ดี ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้นักลงทุนติดตามแผนการปรับโครงสร้างธุรกิจของบริษัท การบริหารจัดการหนี้สิน และความคืบหน้าในการสร้างรายได้จากธุรกิจใหม่ๆ ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญต่อการฟื้นตัวในระยะยาว ทั้งนี้ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยอาจต้องพิจารณาทบทวนมาตรการกำกับดูแลการนำหุ้นไปเป็นหลักประกัน เพื่อป้องกันผลกระทบต่อราคาหุ้นและความเชื่อมั่นของนักลงทุนในอนาคต