ตามแผนปรับโครงสร้างธุรกิจของ ซูซูกิ มอเตอร์ ประเทศไทย ที่เตรียมหยุดสายการผลิตอีโคคาร์ปลายปี 2568 โดยรุ่น สวิฟต์ เซียส และเซเลริโอ้ ต้องยุติการทำตลาด และปัจจุบันขายตามสต๊อกที่เหลืออยู่ เช่นเดียวกับเอ็มพีวีนำเข้าจากอินโดนีเซีย เออร์ติก้า และ เอ็กซ์แอล7 ที่เตรียมนับถอยหลังเช่นกัน
ช่วงเดือนกรกฎาคมปี 2567 ซูซูกิ มอเตอร์ ประเทศไทย ประกาศจะยุติการผลิตรถยนต์ที่โรงงาน จ.ระยอง ภายในสิ้นปี 2568 แต่ยืนยันดำเนินธุรกิจในไทยต่อเนื่อง ทั้งการขาย และดูแลการบริการหลังการขาย
เบื้องลึกของการปิดโรงงานผลิตรถยนต์ซูซูกิ มาจากการที่บริษัทขาดทุนสะสม ยอดขายลดลงต่อเนื่อง บวกกับสภาพตลาดปัจจัยแวดล้อมในอุตสาหกรรมยานยนต์เปลี่ยนไป รวมถึงนโยบายของรัฐบาล และแพกเกจส่งเสริมโครงการอีโคคาร์จะสิ้นสุดในปี 2568
ส่งผลให้ซูซูกิ มอเตอร์ ประเทศไทย ต้องปรับตัวครั้งใหญ่ และจะหันไปนำเข้ารถจาก อินโดนีเซีย และญี่ปุ่น มาทำตลาดแทน โดยตั้งแต่ปี 2568 เป็นต้นไป จะนำเข้ารถใหม่มาเปิดตัว 4 รุ่น ทั้งขุมพลัง ICE ไฮบริด และรถพลังงานไฟฟ้า 100% EV
ทั้งนี้ โปรดักต์ใหม่ที่หวังยอดขายจะมาในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ กับครอสโอเวอร์รุ่น ซูซูกิ ฟรองซ์ (Suzuki Fronx) ที่มีให้เลือกทั้ง รุ่นเครื่องยนต์ 3 สูบ 1.0 ลิตร เทอร์โบ ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด และเครื่องยนต์ 1.5 ลิตร ไมลด์ไฮบริด ประกบเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด
ซูซูกิ ฟรองซ์ เป็นครอสโอเวอร์ ที่มีความยาว 3,995 มม. กว้าง 1,765 มม. สูง 1,550 มม. ระยะฐานล้อ 2,520 มม. และระยะต่ำสุดจากพื้น Ground Clearance 170 มม. โดยจะเป็นรถนำเข้าทั้งคันมาจากโรงงานประเทศอินโดนีเซีย
จากนั้นในช่วงปลายปี เตรียมเรียกเสียงฮือฮาด้วยการนำเข้าอีวี มาเปิดตัวครั้งแรกในไทยกับ วิทารา อีวี หรือ e Vitara ที่เพิ่งเผยโฉมอย่างเป็นทางการครั้งแรกที่ประเทศอิตาลี ช่วงปลายปี 2567 โดยจะเป็นบี-เอสยูวี พลังงานไฟฟ้าที่เตรียมทำตลาดทั่วโลก
ในตลาดโลก วิทารา อีวี มีให้เลือกทั้งรุ่น มอเตอร์เดี่ยวขับเคลื่อนล้อหน้า และมอเตอร์คู่ ขับเคลื่อนสี่ล้อ แบตเตอรี่ลิเธียมไอออนความจุ 49 kWh และ 61 kWh
การพัฒนาบนแพลตฟอร์มใหม่ HEARTECT-e มิติตัวถังยาว 4,275 มม. กว้าง 1,800 มม. สูง 1,635 มม. ระยะฐานล้อ 2,700 มม. และระยะต่ำสุดจากพื้น 180 มม. ในรุ่นแบตเตอรี่ 61 kWh ทั้งขับเคลื่อนสองล้อ และสี่ล้อ ใช้ล้ออัลลอยขนาด 19 นิ้ว
สำหรับ Suzuki e Vitara ถือเป็นอีวีแบบแมสโปรดักชัน รุ่นแรกของซูซูกิ ที่จะทำตลาดไปทั่วโลก ทั้ง ยุโรป อินเดีย ญี่ปุ่น และอาเซียน โดยเตรียมขึ้นสายการผลิตที่ประเทศอินเดีย ช่วงกลางปี 2568 ส่วนเมืองไทยจะนำเข้ามาเปิดตัวปลายปีนี้
อย่างไรก็ตาม ก่อนถึงการเปิดตัวโปรดักต์ยุคใหม่ที่จะเริ่มตั้งแต่ปีนี้เป็นต้นไป แต่วันนี้ซูซูกิต้องเคลียร์สต๊อกรุ่นที่มี อย่างอีโคคาร์ซีดาน เซียส ที่ลดราคา 1.5 แสนบาท ปัจจุบันขายหมดไปแล้ว เหลือเพียง สวิฟต์ และเซเลริโอ้ รวมถึงเอ็มพีวีนำเข้าจากอินโดนีเซีย
ในส่วน เซเลริโอ้ ราคาพิเศษเริ่มต้น 319,900 บาท พร้อมข้อเสนอ ผ่อนเริ่มต้น 2,999 บาท/เดือน หรือเลือกผ่อนนานสูงสุด 99 เดือน เดือนละ 3,302 บาท
ขณะที่ ซูซูกิ เออร์ติก้า ไฮบริด ลดราคา 2.28 แสนบาท ทำให้รุ่น GL เหลือ 5.55 แสนบาท ซึ่งทำให้บรรดาดีลเลอร์ได้กระปรี้กะเปร่า เพราะลูกค้าให้ความสนใจเป็นจำนวนมาก
ซูซูกิ เออร์ติก้า ไฮบริด ใช้เครื่องยนต์เบนซิน 1.5 ลิตร พร้อมมอเตอร์ไฟฟ้า (Integrated Starter Generator หรือ ISG) แบตเตอรี่ลิเธียมไอออน ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ และรับประกันอายุแบตเตอรี่ 5 ปี โดยรุ่น GL ราคาปกติ 783,000 บาท เหลือ 555,000 บาท ส่วน และ GX ราคา 839,000 บาท เหลือ 599,000 บาท หรือลดไป 240,000 บาท
นายวัลลภ ตรีฤกษ์งาม รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท ซูซูกิ มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ซูซูกิ มีรถยนต์หลายรุ่นที่เข้าไปอยู่ในใจของคนไทยและยังได้การตอบรับเป็นอย่างดีเสมอมา โดยเฉพาะรถยนต์ในกลุ่มอเนกประสงค์ขนาด 7 ที่นั่ง ซูซูกิ เออร์ติก้า ไฮบริด
ล่าสุด จัดแคมเปญ SUZUKI ERTIGA SUPER FLASH DEAL ราคาพิเศษสำหรับลูกค้าที่จองและรับรถตั้งแต่วันที่ 6 มกราคม - 28 กุมภาพันธ์ 2568 พร้อมข้อเสนอเพิ่มเติม ฟรี ประกันภัยชั้นหนึ่ง และบริการช่วยเหลือฉุกเฉิน 24 ชั่วโมง ระยะเวลา 3 ปี
แม้ซูซูกิจะต้องเผชิญการแข่งขันในตลาดที่ค่อนข้างรุนแรง รวมถึงสภาวะการหดตัวลงของตลาดและความเข้มงวดของสถาบันการเงินต่างๆ แต่ในช่วงที่ผ่านมายังคงรักษาระดับยอดขายรถยนต์ไว้ได้อย่างน่าพอใจ
“ขอให้ลูกค้าซูซูกิทุกท่านเชื่อมั่นได้ว่า เราจะยังเดินหน้าพัฒนาคุณภาพในทุกด้านอย่างไม่หยุดยั้ง โดยยึดความสำคัญด้านการบริการทั้งก่อนและหลังการขายเป็นที่ตั้ง โดยซูซูกิสามารถสร้างยอดขายสะสมนับตั้งแต่เข้ามาดำเนินธุรกิจในประเทศไทยได้ถึง 312,748 คัน” นายวัลลภ กล่าว