ภาพรวมตลาดรถยนต์ไทย 8 เดือนแรกปี 2567 (มกราคม -สิงหาคม)ยังไม่ฟื้น โดยตัวเลขการขายรวม 399,611 คัน ลดลง 23.9% แบ่งเป็นรถยนต์นั่ง 154,194 คัน ลดลง 20.6% และรถเพื่อการพาณิชย์ 245,417 คัน ลดลง 25.8% เมื่อมาดูตัวเลขการขายเฉพาะเดือนสิงหาคม 2567 ตลาดรวมมียอดขายทั้งสิ้น 45,190 คัน ลดลง 25% แบ่งเป็นรถยนต์นั่ง 18,305 คัน ลดลง 22.6% และรถเพื่อการพาณิชย์ 26,885 คัน ลดลง 26.5%
อย่างไรก็ตามเมื่อมาดูยอดขายในกลุ่มตลาด xEV หรือยานยนต์ไฟฟ้า พบว่ามียอดขายทั้งหมด 17,090 คัน คิดเป็นสัดส่วน 38% ของตลาดรถยนต์ทั้งหมด เติบโตขึ้น 20% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา โดยรถยนต์ HEV หรือ รถไฮบริด ยังคงได้รับความนิยม มียอดขายรวมอยู่ที่ 8,658 คัน เติบโต 33% คิดเป็นสัดส่วน 51% ของตลาด xEV และรถยนต์ BEV หรือ รถยนต์ไฟฟ้า 100 % EV มียอดขาย 7,654 คัน เพิ่มขึ้น 16% คิดเป็นสัดส่วน 45% ของตลาด xEV ทั้งหมด
ส่วนทางด้านยอดขายรถยนต์ 8 เดือนแรกปี 2567 (มกราคม -สิงหาคม) เมื่อมาดู 10 อันดับแบรนด์ที่ขายดีที่สุด พบว่ามีแบรนด์ใหม่ที่ติด 1 ใน 10 ครั้งแรกนั่นก็คือ ฉางอาน ซึ่งแต่เดิมอันดับ 10 ที่ขายดีจะเป็นแบรนด์จากจีนอย่าง เกรท วอลล์ มอเตอร์ ทั้งนี้สามารถตรวจสอบตารางยอดขายพร้อมทั้งอัตราการเติบโตเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาและส่วนแบ่งทางการตลาดได้ดังต่อไปนี้
ตลาดรถยนต์นั่ง 18,305 คัน ลดลง 22.6%
ตลาดรถเพื่อการพาณิชย์ 26,885 คัน ลดลง 26.5%
ตลาดรถกระบะขนาด 1 ตัน (Pure Pick up และ รถกระบะดัดแปลง PPV*)14,970 คัน ลดลง 39.2%
*ปริมาณการขายรถกระบะดัดแปลง (ในตลาดรถกระบะขนาด 1 ตัน) 2,667 คัน
อีซูซุ 1,158 คัน ,โตโยต้า 822 คัน ,ฟอร์ด 542 คัน ,มิตซูบิชิ 113 คัน ,นิสสัน 32 คัน
ตลาดรถกระบะ Pure Pick up 12,303 คัน ลดลง 37.1%
นายศุภกร รัตนวราหะ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย เปิดเผยว่า ตลาดรถยนต์เดือนกันยายน 2567 ยังคงทรงตัวและอาจจะเติบโตลดลง เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา เนื่องจากเศรษฐกิจโดยรวมที่ยังคงฟื้นตัวช้า และความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงิน รวมถึงภาวะอุทกภัย อาจส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภค
นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ ที่ปรึกษาประธานกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์และโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ไตรมาสสุดท้ายของปีนี้สถานการณ์ของตลาดรถยนต์น่าจะดีขึ้น เพราะมีรัฐบาลใหม่เข้ามา และมีนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ การแจกเงินหนึ่งหมื่นบาท การเร่งแก้ไขหนี้ทั้งในและนอกระบบ นอกจากนั้นแล้วเงินงบประมาณปี 2568 ที่จะเริ่ม 1 ตุลาคม 2567 ก็จะมีส่วนช่วยขับเคลื่อนภาพรวมเศรษฐกิจในประเทศให้ฟื้นตัว