หลังสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลายทยอยปรับฐานสู่ภาวะการณ์ปกติ ทำให้ธุรกิจโรงพยาบาลกลับมาเดินหน้าภายใต้การให้บริการรักษาพยาบาลผู้ป่วยโรคต่างๆ ทั้งโรคเรื้อรังและโรคไม่เรื้อรัง รวมถึงโรคตามฤดูกาล ส่งผลให้ภาพรวมธุรกิจโรงพยาบาลถูกจับตามองว่า จะเป็นอย่างไร สามารถปรับตัวและสร้างรายได้ให้กลับมาหรือไม่ ซึ่งผลประกอบการในไตรมาส 3 พบว่า ทุกโรงพยาบาลต่างมีรายได้สูงขึ้นและมีกำไรเพิ่มขึ้นไปในทิศทางเดียวกัน
นายแพทย์กฤตวิทย์ เลิศอุตสาหกูล กรรมการผู้จัดการ บริษัท พริ้นซิเพิล แคปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ PRINC ผู้ดำเนินธุรกิจบริหารจัดการโรงพยาบาลเอกชนและธุรกิจสุขภาพในนาม เครือพริ้นซิเพิล เฮลท์แคร์ เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานไตรมาส 3 ที่ผ่านมาถือว่าปรับตัวที่ดีที่สุดนับตั้งแต่ต้นปี โดยมีรายได้รวม 1,621.8 ล้านบาท สูงขึ้น 8.4% จากธุรกิจการให้บริการทางการแพทย์ มีรายได้ 1,479.6 ล้านบาท สูงขึ้น 8.3%
โดยเป็นรายได้ที่ไม่เกี่ยวข้องกับโควิด-19 สูงขึ้นจากทุกโรงพยาบาลประมาณ 38.9% มีกำไร 32 ล้านบาทปัจจัยหลักมาจากคนไข้จากประเทศเพื่อนบ้าน เช่น สปป.ลาว, กัมพูชา ที่กลับมาใช้บริการในโรงพยาบาลที่อยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือมากขึ้นกว่า 315% ส่วนธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ มีรายได้ 142.1 ล้านบาท สูงขึ้น 9.6% จากมาตรการวีซ่าฟรีและภาพรวมจำนวนท่องเที่ยวต่างชาติกลับเข้ามาท่องเที่ยวที่ประเทศไทยเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง
ขณะที่ในไตรมาสที่ 3 ซึ่งเป็นช่วงฤดูฝน นอกจากไข้หวัดตามฤดูกาลแล้ว ยังมีโรคระบาดที่เกิดขึ้น ทั้งในเด็ก เช่น โรคติดเชื้อระบบทางเดินหายใจ RSV ไข้หวัดใหญ่ และโรคระบาดในผู้ใหญ่ เช่น ใข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A และ B และโรคไข้เลือดออก ทำให้โรงพยาบาลในเครือบริหารจัดการบุคลากรการแพทย์เพื่อรองรับสถานการณ์ทันท่วงที่ พร้อมกับการปรับโครงสร้างองค์กรและนโยบายบริษัทที่สามารถควบคุมต้นทุนให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ทำให้รายได้รวมขยับเพิ่มสูงขึ้น มากกว่าต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้นอันเป็นผลสืบเนื่องมาจากการขยายธุรกิจทั้งในธุรกิจโรงพยาบาล คลินิกเสริมความงาม และธุรกิจเฮลท์แคร์
ด้านแผนการขยายธุรกิจโรงพยาบาล 20 แห่ง จากปัจจุบันมีโรงพยาบาลในเครือทั้งหมด 15 แห่ง เปิดดำเนินการแล้ว 14 แห่งใน 11 จังหวัด ล่าสุด เตรียมขยายโรงพยาบาล จ. มุกดาหาร ขนาด 59 เตียง พร้อมขยายศูนย์การแพทย์เฉพาะทางรักษาโรคยากซับซ้อน ปักหมุดภาคอีสานรองรับผู้ป่วยจากประเทศเพื่อนบ้านทั้ง สปป.ลาว และกัมพูชา เชื่อมโยงโรงพยาบาลในเครือข่ายที่มีอยู่แล้ว 3 แห่ง ได้แก่ รพ.พริ้นซ์ อุบลราชธานี รพ.พริ้นซ์ ศรีสะเกษ และรพ.พริ้นซ์ สกลนคร คาดว่าจะก่อสร้างและเปิดดำเนินการได้ภายในไตรมาสที่ 4 ปี 2567
“รพ.พริ้นซ์ ศรีสะเกษ มีแผนขยายลงทุนศูนย์รักษามะเร็ง (Cancer Center) แห่งแรกและแห่งเดียวในจังหวัด มูลค่ารวม 250 ล้านบาท ขณะที่ รพ.พริ้นซ์ สุวรรณภูมิ เปิดให้บริการ ศูนย์วินิจฉัยและรักษาโรคหัวใจและหลอดเลือด (CathLab) และศูนย์ศัลยกรรมความงาม (Plastic Surgery) รพ.วิรัชศิลป์ จ.ชุมพร และรพ.พิษณุเวช อุตรดิตถ์ เตรียมเปิดให้บริการผ่าตัดเส้นเลือดฟอกไต (AVF) ฯลฯ”
ส่วนการขยายธุรกิจด้านเฮลท์แคร์ บริษัทมีการเข้าลงทุนผิวดีคลินิกเพิ่มขึ้น และควบรวมกับพงศ์ศักดิ์คลินิก ซึ่งจะส่งผลให้ขยายฐานผู้รับบริการและมีจำนวนสาขาเพิ่มขึ้นและรับรู้รายได้ทันทีในไตรมาส 4 ปี 66 พร้อมมีแผนที่จะเปิดตัวแบรนด์ใหม่เร็วๆนี้ ขณะเดียวกันมีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างการดำเนินธุรกิจโดยตั้งบริษัท พริ้นซิเพิล เน็กส์ จำกัด (PNEXT) ทุนจดทะเบียน 200 ล้านบาท รองรับการขยายการลงทุนไปยังธุรกิจดูแลผู้สูงอายุและเฮลท์แคร์ เช่น ธุรกิจดูแลผู้สูงอายุแบบระยะยาว, การรักษาผู้มีบุตรยาก ฯลฯ ซึ่งแผนการเข้าลงทุนคาดมีความชัดเจนในไตรมาสที่ 4 ปี 2566 นี้
ด้านแพทย์หญิง ชุติมา ปิ่นเจริญ รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท โรงพยาบาลจุฬารัตน์ จำกัด (มหาชน) หรือ CHG กล่าวว่า ผลประกอบการในไตรมาส 3/2566 บริษัทมีรายได้ 2,092.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3% กำไรสุทธิ 325.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 26% มาจากกลุ่มผู้ป่วยทั่วไป เพิ่มขึ้น 8% ส่วนรายได้โครงการประกันสังคม เพิ่มขึ้น 8% เช่นกัน ทำให้ผลประกอบการงวด 9 เดือนปี 2566 มีรายได้รวมเป็น 5,607.6 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 772.2 ล้านบาท
“ไตรมาส 3/2566 บริษัทมีรายได้ที่เติบโตกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนและมีแนวโน้มดีขึ้นต่อเนื่อง จากการปรับการบริการกลับเข้าสู่ฐานเดิมก่อนสถานการณ์โควิด-19 การขยายขอบเขตให้บริการของโรงพยาบาล แห่งใหม่ การเข้าซื้อกิจการดูแลผู้สูงอายุจากช่วงปลายไตรมาสก่อนหน้าที่ผ่านมา รวมถึงการขยายการให้บริการและเพิ่มศักยภาพการรักษาของสถานพยาบาลเดิม ส่งผลให้ทั้งผู้ป่วยทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างต่อเนื่อง”
สำหรับแนวโน้มผลประกอบการในไตรมาส 4/2566 คาดว่าแนวโน้มผลการดำเนินงานมีทิศทางที่สดใส จากผลการดำเนินงานจากโครงการต่างๆ ทั้งการรับรู้รายได้จากการเบิกจ่ายประกันสังคมที่เข้ามาเพิ่มเติม การเปิดให้บริการโรงพยาบาลจุฬารัตน์แม่สอด อินเตอร์ จ.ตาก รองรับการให้บริการกับกลุ่มผู้ป่วยทั้งคนไทยในพื้นที่ พื้นที่ใกล้เคียง และชาวต่างชาติ
ตลอดจนการได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการเปิดให้บริการศูนย์การแพทย์ Chularat Medical Center (ศูนย์มะเร็งครบวงจรแห่งแรก ในจังหวัดสมุทรปราการ, ศูนย์เวชศาสตร์นิวเคลียร์, ศูนย์โรคหลอดเลือดสมอง, ศูนย์รักษาแผลเรื้อรัง, ศูนย์บำบัดด้วยออกซิเจนความดันสูง) ที่เข้าใช้บริการเป็นจำนวนมาก อย่างไรก็ดีในปีนี้ คาดว่าจะมีรายได้ 8,000 ล้านบาท เติบโต 20% จากปีก่อนตามเป้าหมายที่วางไว้
ด้านนายแพทย์ธนาธิป ศุภประดิษฐ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ THG กล่าวว่า ผลการดำเนินงานของ THG ในไตรมาส 3/2566 มีรายได้รวม 2,725 ล้านบาท กำไรสุทธิ 356 ล้านบาท ซึ่งหากไม่นับรวมรายได้ที่เกี่ยวข้องกับโควิด-19 พบว่ารายได้เฉพาะในส่วนธุรกิจให้บริการทางการแพทย์เติบโตเพิ่มขึ้น ประกอบกับการบริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพก็ทำให้อัตรากำไรขั้นต้นสูงขึ้นกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน 2% ด้านภาพรวมผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนปี 2566 ของ THG มีรายได้รวม 7,748 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 757 ล้านบาท โดยยังคงอยู่ภายใต้กรอบเป้าหมายที่วางไว้
อย่างไรก็ดี แนวโน้มไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ คาดว่าธุรกิจโรงพยาบาลจะยังเติบโตต่อเนื่อง โดยเฉพาะโรงพยาบาลในระดับทุติยภูมิทั้งในกรุงเทพฯและในส่วนภูมิภาค ซึ่ง THG ได้นำเทคโนโลยีมายกระดับคุณภาพด้านบริการและความสะดวกในการเข้าถึงการรักษาของผู้ป่วยเพิ่มมากขึ้น อาทิ บริษัท เทเลเฮลท์ แคร์ จำกัด ในเครือ THG ได้เปิดตัว “แอปพลิเคชัน Prompt Care” ที่สามารถให้คำปรึกษาออนไลน์ด้านสุขภาพ
ทั้งเรื่อง 1.Tele-Medicine สำหรับตรวจรักษาโรคทั่วไป โดยมีทีมแพทย์เฉพาะทางของ THG 16 สาขา อาทิ อายุรกรรม ศัลยกรรม ระบบช่องท้อง สูตินรีเวช กุมารเวช ทางเดินอาหาร มะเร็ง ฯลฯ คอยให้บริการ 2.Tele-wellness ที่ปรึกษาด้านการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม เช่น ออกแบบและให้แนะนำเกี่ยวกับวิตามินที่เหมาะสมสำหรับแต่ละบุคคล จัดส่งถึงบ้านโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ 3.การปรึกษาเภสัชกรออนไลน์ ก็พบว่ามีผลตอบรับที่ดี
อย่างไรก็ดี แนวโน้มธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนยังต้องจับตาดูต่อไปเมื่อภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว ผนวกสงครามที่เกิดขึ้นจะกระทบต่อกำลังซื้อ และความสะดวกในการเดินทางเข้ามาใช้บริการของคนไข้ต่างชาติในปีหน้าหรือไม่
หน้า 15 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 43 ฉบับที่ 3,941 วันที่ 19 - 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2566