โควิด19 ในประเทศไทยได้ถูกปรับเปลี่ยนให้เป็นโรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวังตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. เป็นต้นมา
อย่างไรก็ดี ประเด็นสำคัญก็คืออาการของโรคที่มีการเปลี่ยนแปลงไป
ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิยาลัย โพสต์ข้อความว่า
โควิด19 อาการของโรคเปลี่ยนไปจากเดิม
หมอยง บอกว่า ในช่วงระยะเวลา 3 ปีที่มีการระบาดของโรคโควิด19 ลักษณะอาการของโรคได้มีการเปลี่ยนแปลง
- ระยะฟักตัวของโรคสั้นลง จากการศึกษาในช่วงที่มีการระบาดของสายพันธุ์เดลต้ากับสายพันธุ์ โอมิครอน ระยะฟักตัวของโรคสั้นลงมาอยู่ที่ ประมาณ 3 วันในระยะหลังนี้
- การระบาดของโรคมีแนวโน้มไปตามฤดูกาลแบบไข้หวัดใหญ่ ในซีกโลกเหนือเช่นยุโรปและอเมริกาจะมีการระบาดมากตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน จนถึงเดือนมีนาคมซึ่งเป็นฤดูหนาว และประเทศซีกโลกใต้ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ จะมีการระบาดมากในฤดูหนาว เช่นกัน ระหว่างเดือนมิถุนายนถึงกันยายน สำหรับประเทศไทยเป็นประเทศเขตร้อน ไม่มีฤดูหนาวที่แน่ชัด การระบาดพบได้ตลอดทั้งปี แต่การระบาดมากจะเกิดในหน้าฝน ในช่วงเดือนมิถุนายนถึงกันยายนเช่นเดียวกับซีกโลกใต้ และจะเกิดอีกครั้งหนึ่งซึ่งไม่มากนักในเดือนมกราคมถึงเดือนมีนาคม ซึ่งต่างกับตอนแรกของการระบาดของ covid 19 ไม่เป็นฤดูกาล
- ไวรัสโควิค 19 มีการเปลี่ยนแปลงสายพันธุ์เช่นเดียวกับไข้หวัดใหญ่ แนวโน้มในอนาคตจึงทำให้เมื่อติดเชื้อและสามารถติดเชื้อซ้ำได้อีก แต่อาการของโรคมีแนวโน้มลดลง ความสำคัญจึงอยู่ในกลุ่มเสี่ยงสูง เช่น 608
หมอยง ปิดท้ายอย่างน่าสนใจว่า วัคซีนที่ใช้จะต้องใช้ให้ตรงสายพันธุ์ที่คาดว่าจะเกิดมีการระบาด เช่นเดียวกับไข้หวัดใหญ่ และจะต้องให้ก่อนที่จะมีการระบาด เช่นในเดือนเมษายนถึงพฤษภาคม และกลุ่มที่ควรรับวัคซีนอย่างยิ่งคือกลุ่ม 608 รวมทั้งเด็กเล็ก