ตลาด “สเต็มเซลล์” แข่งดุ ไครโอวิวา ชี้โอกาสไทย สร้างเม็ดเงินหมื่นล้าน

03 มี.ค. 2568 | 05:05 น.

ชี้เทรนด์ตลาดสเต็มเซลล์ทั่วโลกโตแรง ปลุกบิ๊กเนมเร่งพัฒนานวัตกรรมให้บริการธนาคารจัดเก็บและเพาะเลี้ยง มั่นใจหากกฎหมายชัดเจนเพิ่มโอกาสสร้างเม็ดเงินเข้าประเทศได้ไม่ต่ำกว่าหมื่นล้านบาท พร้อมดัน Medical Tourism คึกคัก

การผนึกร่วมมือกันระหว่างกระทรวงสาธารณสุขกับสถาบันการศึกษาด้านการแพทย์ของไทย ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์การแพทย์ขั้นสูง (ATMPs) เพื่อเพิ่มโอกาสการเข้าถึงยา ATMPs ที่ได้มาตรฐาน ส่งเสริมเศรษฐกิจชีวภาพมูลค่าสูงเพื่อสร้างรายได้และเป็นศูนย์กลางบริการทางการแพทย์ของภูมิภาค ซึ่งปัจจุบันมีการวิจัยพัฒนาผลิตภัณฑ์การแพทย์ขั้นสูงหรือ ATMPs ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ยาที่มีตัวยาที่ออกฤทธิ์เป็นยีน สเต็มเซลล์ หรือเนื้อเยื่อ ซึ่งในต่างประเทศมีการวิจัยและประสบความสำเร็จอย่างมาก ถือเป็นการส่งสัญญาณที่ดีต่อโอกาสในการนำ “สเต็มเซลล์” มาใช้ในการฟื้นฟู รักษา และเพิ่มสมรรถนะให้ร่างกายของคนไทย

นางจิรัญญา ประชาเสรี ประธานกรรมการบริหาร ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ บริษัท ไครโอวิวา (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ให้บริการธนาคารจัดเก็บสเต็มเซลล์ เปิดเผยว่า ในช่วงที่ผ่านมา ธุรกิจสเต็มเซลล์ได้รับความสนใจอย่างมากจากนักลงทุนและผู้ประกอบการในประเทศไทย ส่งผลให้เกิดการแข่งขันอย่างเข้มข้น เนื่องจากมีผู้เล่นหลายรายที่เข้ามาในตลาดนี้ โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งมีการพัฒนาเทคโนโลยีและการวิจัยอย่างต่อเนื่อง สำหรับไครโอวิวา ถือเป็นหนึ่งในผู้นำด้านการให้บริการสเต็มเซลล์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยบริษัทมีการดำเนินงานในหลายประเทศ ทั้งในสิงคโปร์ เวียดนาม อินเดีย รวมถึงประเทศไทย โดยมีห้องปฏิบัติการที่สามารถเก็บสเต็มเซลล์จากเลือดสายสะดือได้เกือบ 1 ล้านยูนิต ซึ่งถือเป็น 1 ใน 10 ของโลกในด้านจำนวนการเก็บสเต็มเซลล์

“ไครโอวิวาให้บริการที่หลากหลาย รวมถึงการเก็บและเพาะสเต็มเซลล์สำหรับการรักษาโรคต่างๆ โดยเฉพาะโรคที่เกี่ยวข้องกับการเสื่อมสภาพของร่างกาย เช่น โรคเบาหวานและโรคมะเร็ง ซึ่งการวิจัยในด้านนี้เริ่มมีผลลัพธ์ที่ชัดเจนมากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มผู้สูงอายุที่ต้องการการซ่อมแซมเซลล์เพื่อปรับปรุงคุณภาพชีวิต ด้วยมาตรฐานการดำเนินงานที่สูงและได้รับการรับรองจากองค์กรระดับสากล ทำให้บริษัทนี้มีความได้เปรียบในการแข่งขัน ซึ่งให้บริการเก็บรักษาและเพาะเลี้ยงสเต็มเซลล์มาแล้ว 17 ปี โดยมีทีมแพทย์และนักวิทยาศาสตร์ ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านสเต็มเซลล์ และที่ปรึกษาด้านโลหิตวิทยาและการฟื้นฟูด้วยเซลล์บำบัดทั้งในและต่างประเทศ”

ตลาด “สเต็มเซลล์” แข่งดุ ไครโอวิวา ชี้โอกาสไทย สร้างเม็ดเงินหมื่นล้าน

อย่างไรก็ตาม การเก็บสเต็มเซลล์จะต้องอยู่ภายใต้ผู้เชี่ยวชาญและเทคโนโลยีเพื่อคงสภาพและประสิทธิภาพของเสต็มเซลล์ ซึ่งปัจจุบันมีอัตราส่วนของคนไทยที่ใช้บริการหรือเก็บสเต็มเซลล์ราว 1 % ของจำนวนประชากร ขณะที่การรับรู้ถึงเทคโนโลยีการจัดเก็บสเต็มเซลล์และคุณสมบัติของสเต็มเซลล์มีมากขึ้น ซึ่งโอกาสในการลงทุนในธุรกิจสเต็มเซลล์นั้นมีมากมาย โดยเฉพาะในด้านการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ ที่สามารถนำมาใช้ในการรักษาโรคต่างๆ นอกจากนี้ การร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนในการพัฒนาธุรกิจสเต็มเซลล์ยังเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยผลักดันการเติบโตของตลาดนี้ให้รวดเร็วขึ้น

ขณะที่อุปสรรคของการลงทุนในธุรกิจสเต็มเซลล์ อาทิ ความไม่แน่นอนทางกฎหมายและมาตรฐานที่ยังไม่ชัดเจนในบางประเทศ รวมถึงความต้องการของตลาดที่อาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา นอกจากนี้ การสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคเกี่ยวกับความปลอดภัยและประสิทธิภาพของการรักษาด้วยสเต็มเซลล์ก็เป็นอีกหนึ่งความท้าทายที่สำคัญ 

“ทั้งนี้ไครโอวิวา เตรียมความพร้อมมาแล้ว 2 ปี ควบคู่ไปกับการให้บริการธนาคารสเต็มเซลล์ เพื่อรองรับการอนุญาตให้ใช้ สเต็มเซลล์ได้อย่างแพร่หลายและถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งสิ่งที่สําคัญที่สุดคือคุณภาพทั้งเรื่องของห้องปฏิบัติการ ทีมงาน เทคโนโลยี ทั้งเรื่องของการที่ได้รับรองโดยองค์กรระดับสากลที่มีมาตรฐานในการตรวจสอบความมีชีวิตของเซลล์อย่างต่อเนื่องได้รับการรับรองคุณภาพสามารถปลูกถ่ายได้ทันทีไม่ต้องผ่านกระบวนการในการตรวจสอบ สามารถส่งไปทั่วโลกได้ภายในเวลาไม่เกิน 2 สัปดาห์”

ปัญหาของกฎหมายไทยในด้านการใช้สเต็มเซลล์และการแพทย์ฟื้นฟูมีหลายประการ ซึ่งรวมถึง การขาดความชัดเจนในข้อกฎหมาย กฎหมายเกี่ยวกับการใช้สเต็มเซลล์ในประเทศไทยยังไม่มีความชัดเจนและเป็นมาตรฐานที่แน่นอน ทำให้เกิดความไม่แน่นอนในด้านการดำเนินงานและการลงทุนในธุรกิจนี้ การขาดการรับรองและมาตรฐาน แม้ว่ามีการใช้สเต็มเซลล์ในการรักษาโรคต่างๆ แต่การขาดการรับรองจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทำให้ผู้ป่วยและนักลงทุนไม่มั่นใจในความปลอดภัยและประสิทธิภาพของการรักษา

นางจิรัญญา กล่าวว่า โอกาสของประเทศไทยคือ สเต็มเซลล์สามารถรักษาโรค เพิ่มคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับผู้คน รวมถึงผู้สูงอายุ ขณะนี้ไทยมีบุคลากรทางการแพทย์ที่เชี่ยวชาญทางด้านสเต็มเซลล์เป็นอันดับต้นๆของโลก ก็จะเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงการใช้สเต็มเซลล์ของคนไทยได้ด้วย ซึ่งที่ผ่านมาหากภาครัฐสามารถขับเคลื่อนได้อย่างจริงจัง ภาคเอกชนก็พร้อมดำเนินการและสามารถสร้างเม็ดเงินเข้าประเทศได้ไม่ต่ำกว่าหมื่นล้านบาท และยังผลักดัน Medical Tourism คึกคัก

“อยากให้มีการพัฒนากฎหมายที่ชัดเจนและมีมาตรฐานในการใช้สเต็มเซลล์ รวมถึงการกำหนดหลักเกณฑ์ที่ชัดเจนในการดำเนินงานของบริษัทที่ให้บริการด้านนี้ เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผู้ใช้บริการและนักลงทุน รวมทั้งการรณรงค์เพื่อสร้างความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับการใช้สเต็มเซลล์ในสังคม โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ป่วยและแพทย์ เพื่อให้ผู้คนเห็นถึงโอกาสและประโยชน์ที่สามารถได้รับจากการรักษาด้วยสเต็มเซลล์ ซึ่งเป็นสิ่งที่ภาครัฐและเอกชนต้องร่วมมือกัน ผลักดันทั้งด้านการวิจัยและพัฒนาในด้านสเต็มเซลล์ เพื่อให้เกิดนวัตกรรมที่สามารถนำมาใช้ในการรักษาโรคต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ”

สำหรับแผนงานของไครโอวิวาใน 3-5 ปีนี้ บริษัทมีแผนสร้างโรงพยาบาลแม่และเด็ก “CoCoon” เพิ่มอีกประมาณ 10 แห่ง โดยเริ่มต้นจากประเทศที่มีประชากรสูงที่สุด เช่น อินเดีย ซึ่งโรงพยาบาลแรกได้เริ่มดำเนินการแล้ว และโรงพยาบาลที่ 2 จะเริ่มเปิดในปลายปีนี้ นอกจากนี้จะมุ่งนำเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาใช้ในการให้บริการสเต็มเซลล์ โดยเฉพาะในด้านการฟื้นฟูสุขภาพและการรักษาโรคที่มีการรับรองจากแพทย์ด้วย อย่างไรก็ดีในปีนี้บริษัทตั้งเป้าหมายที่จะมีการเติบโตไม่น้อยกว่าปีก่อน ซึ่งในปี 2567 บริษัทมีรายได้ราว 900 ล้านบาทเติบโตขึ้น 30%

ตลาด “สเต็มเซลล์” แข่งดุ ไครโอวิวา ชี้โอกาสไทย สร้างเม็ดเงินหมื่นล้าน

ด้าน นายแพทย์วีรพล เขมะรังสรรค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมดีซ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ MEDEZE กล่าวว่า บริษัทเปิดตัว “MEDEZE Hair Renaissance” ธนาคารแช่แข็งเซลล์รากผมแห่งแรกในเอเชีย ในอุณหภูมิ -196 องศาเซลเซียส เพื่อตอบโจทย์กลุ่มคนผมร่วง ผมบาง ในทุกช่วงวัย ด้วยเทคโนโลยีทางการแพทย์เฉพาะบุคคล โดยให้บริการตรวจวิเคราะห์ คัดแยกเส้นผม เพาะเลี้ยงเพิ่มจำนวนเซลล์ผมจากเพียง 50 เส้น ให้สามารถเพิ่มจำนวนเซลล์ได้มากถึง 50 ล้านเซลล์ และรับฝากเซลล์รากผมไว้ใช้ในอนาคตได้นานถึง 60 ปี

“ทุกกระบวนการจะดำเนินการในห้องปฏิบัติการที่ได้รับมาตรฐานระดับสากล โดยเริ่มให้บริการมาตั้งแต่ปี 2567 มีลูกค้าเฉลี่ย 30-35 เคสต่อเดือน ภายในปี 2568 บริษัทได้ตั้งเป้าให้บริการลูกค้าถึง 500 เคส และจะเพิ่มเป็น 5,000 เคส ภายในปี 2573 โดยจะเน้นทำการตลาดภายในประเทศก่อนก้าวไปยังตลาดต่างประเทศ เพื่อลำดับการเติบโตอย่างต่อเนื่องในทุกๆปี”

นอกจากนี้ นวัตกรรมของเมดีซในอนาคตอีก 3-5 ปี จะพัฒนางานวิจัยอย่างต่อเนื่อง ให้สามารถออกผลิตภัณฑ์ใหม่ที่แปรเปลี่ยนคนผมขาวมีผมดำแบบธรรมชาติได้โดยไม่ต้องย้อม อย่างไรก็ตาม ในภาพรวมธุรกิจของเมดีซมีการตรวจเก็บสเต็มเซลล์ ตรวจสุขภาพของเซลล์ภูมิต้านทาน และนวัตกรรมเซลล์รากผม โดยตั้งเป้าการเติบโตในปี 2568 ไว้ 25-30%