พญ.มัณฑนา สันดุษฎี อายุรแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคระบบการหายใจและภาวะวิกฤตโรคระบบการหายใจและเวชบำบัดวิกฤต โรงพยาบาลพระรามเก้า กล่าวว่า “ไข้หวัดใหญ่” ไม่ใช่แค่ “ไข้ธรรมดา” อย่างที่หลายคนเข้าใจและมีความแตกต่างกันอย่างมาก
โดยไข้หวัดธรรมดาเกิดจากไวรัสหลายสายพันธุ์ เช่น ไรโนไวรัส (Rhinovirus) โคโรนาไวรัส (Coronavirus) แต่ไข้หวัดใหญ่เกิดจากเชื้อไวรัสอินฟลูเอนซา (Influenza Virus) สามารถทำให้เกิดอาการที่รุนแรงกว่าไข้หวัดธรรมดา อาการหลักคือ มีไข้สูงเฉียบพลัน, ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อและข้อต่อ, ปวดศีรษะรุนแรง เจ็บคอ ไอแห้ง หรือมีเสมหะ, อ่อนเพลียมาก, บางครั้งอาจมีอาเจียนหรือท้องเสียร่วมด้วย
ไข้หวัดใหญ่เป็นโรคติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ พบบ่อยในฤดูฝน (มิถุนายน-ตุลาคม) และฤดูหนาว (มกราคม-มีนาคม) ของทุกปีมี 3 สายพันธุ์หลัก ได้แก่ A, B และ C แต่มีเพียงสายพันธุ์ A และ B ที่ระบาดทั่วไป อย่าชะล่าใจเมื่อมีอาการไข้สูง หนาวสั่น ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนที่ไม่ควรมองข้ามเพราะเสี่ยงกับอันตรายร้ายแรง เพราะหากอาการลุกลามเกิดภาวะปอดอักเสบ ติดเชื้อในกระแสเลือด หัวใจล้มเหลว จะถึงขั้นเสียชีวิตได้
การติดเชื้อไข้หวัดใหญ่สามารถเกิดขึ้นได้ทุกเพศทุกวัย แม้แต่ผู้ที่มีสุขภาพดียังเสี่ยงเกิดภาวะแทรกซ้อนได้ โดยเฉพาะในผู้ที่ไม่ได้รับการฉีดวัคซีน ซึ่งอาการป่วยมักอยู่ระหว่าง 3 วัน ถึง 1 สัปดาห์ แต่บางรายอาจมีอาการอ่อนเพลียยาวนานได้หลายสัปดาห์
พญ.มัณฑนา กล่าวว่า แม้โรคไข้หวัดใหญ่ในคนที่อาการไม่มากสามารถหายเองได้ แต่การพบแพทย์เป็นทางเลือกที่ดีที่สุด การได้รับยาต้านไวรัสไข้หวัดใหญ่ เช่น โอเซลทามิเวียร์ (Oseltamivir) จะทำให้ผู้ป่วยหายเร็วขึ้น ลดระยะเวลาการแพร่เชื้อไปยังผู้อื่น และลดอัตราการเกิดภาวะแทรกซ้อน
ปัจจุบันการป้องกัน “ไข้หวัดใหญ่” ที่มีประสิทธิภาพที่สุดคือ การใส่หน้ากากอนามัย ล้างมือบ่อย ๆ หลีกเลี่ยงการใกล้ชิดผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่ และการฉีดวัคซีนป้องกัน ซึ่งช่วยลดความรุนแรงของอาการ และลดการเกิดภาวะแทรกซ้อนที่อันตราย เช่น ปอดอักเสบและหัวใจวาย โดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยง ที่จำเป็นต้องมีการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ทุกปี เพราะเป็นกลุ่มที่มีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนได้สูง ได้แก่
พญ.มัณฑนา กล่าวว่า วัคซีนไข้หวัดใหญ่อัปเดตทุกปีโดยองค์การอนามัยโลก (WHO) เพื่อให้ครอบคลุมเชื้อไวรัสที่มีความเสี่ยงระบาดสูง วัคซีนไข้หวัดใหญ่ 3 หรือ 4 สายพันธุ์ที่ฉีดป้องกันไข้หวัดใหญ่ สายพันธุ์ A 2 สายพันธุ์ และ B อีก 1 หรือ 2 สายพันธุ์ย่อย ดังนั้น การฉีดวัคซีนจะช่วยลดความรุรแรงของอาการ ลดโอกาสการเกิดภาวะแทรกซ้อน ลดอัตราการติดเชื้อและโอกาสแพร่เชื้อให้ผู้อื่น
นอกจากนี้ ยังมีวัคซีนอีกชนิดหนึ่งที่แนะนำให้ผู้ที่อายุ 65 ปีขึ้นไป รวมถึงผู้ป่วยโรคเบาหวาน, โรคไตเรื้อรัง, ผู้ที่ปลูกถ่ายอวัยวะ และผู้ที่ได้รับเคมีบำบัด ฉีดควบคู่กับวัคซีนไข้หวัดใหญ่ คือ วัคซีนนิวโมคอคคัส (Pneumococcal Vaccine) วัคซีนชนิดนี้จะช่วยลดความรุนแรงของการเกิดปอดอักเสบจากเชื้อแบคทีเรียนิวโมคอคคัสและการติดเชื้อในกระแสเลือดจากเชื้อตัวนี้ โดยวัคซีนนี้ปัจจุบันฉีดเพียง 1 เข็ม (PCV20) และป้องกันได้ตลอดชีวิต
ทั้งนี้ การดูแลตัวเองให้ห่างไกลจากไข้หวัดใหญ่ สามารถป้องกันตัวเองจากไข้หวัดใหญ่ได้ง่าย ๆ ด้วยการ ดูแลสุขภาพให้แข็งแรง, ออกกำลังกายสม่ำเสมอ, รับประทานอาหารที่มีประโยชน์, พักผ่อนให้เพียงพอ, ล้างมือบ่อย ๆ และที่สำคัญต้องฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ทุกปี