"สมศักดิ์" ชี้ ไทยรอดูท่าที หลัง "ทรัมป์" ประกาศถอนตัวออกจาก WHO 

22 ม.ค. 2568 | 15:50 น.

สมศักดิ์ ชี้ ไทยประเทศเล็กรอดูสถานการณ์ หลัง "ทรัมป์" ประธานธิบดีสหรัฐฯ ผู้สนับสนันรายใหญ่ประกาศถอนตัวออกจาก WHO ยอมรับกระทบด้านบุคลากรและงบประมาณ ด้าน โฆษกกรมควบคุมโรค เผยรับผลกระทบบ้างแต่ไม่มากอย่ากังวล ย้ำไทยมีระบบเฝ้าระวังควบคุมโรคดีนานาชาติยอมรับ

22 มกราคม 2568 นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาได้ลงนามคำสั่งพิเศษเมื่อวันที่ 20 มกราคม ที่ผ่านมาโดยสหรัฐอเมริกาได้ออกจากการเป็นสมาชิกองค์การอนามัยโลก (WHO: World Health Organization) ซึ่งนายโดนัลด์ ทรัมป์ เองเคยมีความพยายามทำตอนเป็นประธานาธิบดีตั้งแต่สมัยแรกแต่ถูกหยุดไว้ได้ว่า ยังเร็วเกินไปที่เราจะดำเนินการอะไรเนื่องจากองค์การอนามัยโลกเป็นหน่วยงานที่อยู่ใกล้ ๆ กับประเทศมหาอำนาจที่จ่ายเงินให้กับองค์การอนามัยโลกปีละ 18-20% ซึ่งเขาคงต้องไปพูดคุยกัน  

"จากการแถลงการณ์ขององค์การอนามัยโลกก็ยังรอการพูดคุยกับทางสหรัฐฯ ดังนั้น ประเทศไทยเป็นประเทศเล็กไม่ใช่ช้างเท้าหน้าซึ่งเรามีบุคลากรทางการแพทย์ที่เก่ง เราก็ต้องฟังทุกอย่างเพราะว่าเราก็คงต้องดูสถานการณ์ต่อไป

อย่างไรก็ตาม การออกจากองค์การอนามัยโลกย่อมมีผลกระทบแน่นอน เช่น ด้านบุคลากรขององค์การอนามัยโลกแต่เชื่อว่าคงคุยกันได้ เราต้องฟังทุกอย่าง เราเป็นประเทศเล็ก รอฟังได้ ไม่ต้องวิ่งเข้า วิ่งออกเร็วนัก เขาคงคุยกันได้ก็ตกใจนิดหน่อยแต่ก็ต้องตั้งหลักให้ดี" นายสมศักดิ์ รมว.สาธารณสุข กล่าว 

ด้าน พญ.จุไร วงศ์สวัสดิ์ นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ และโฆษกกรมควบคุมโรค ให้สัมภาษณ์ถึงข้อกังวลในเรื่องนี้ว่า อาจจะมีบ้างแต่หากมองในส่วนของกรมควบคุมโรค คิดว่าไม่ได้มีผลต่อระบบทางด้านการเฝ้าระวัง ป้องกันและควบคุมโรคเนื่องจากระบบเฝ้าระวังโดยกองระบาดวิทยาค่อนข้างอยู่ตัวเพราะค่อนข้างทำในสิ่งนี้มานาน

ในส่วนของสหรัฐร่วมมือกับกรมควบคุมโรคมาตลอดอาจมีผลกระทบบ้าง แต่โดยเนื้อแท้การควบคุมเฝ้าระวังป้องกันโรคคือ เจ้าของพื้นที่ ซึ่งประเทศไทยทำได้ดีมาตลอด ซึ่งรัฐบาลก็ต้องหางบประมาณมาสนับสนุน

เมื่อถามว่าหากเกิดโรคระบาดขึ้นในสหรัฐ ทางไทยจะได้รับความร่วมมือในการประสานข้อมูล อย่างกรณี ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคสหรัฐ หรือ US CDC เหมือนเดิมหรือไม่

พญ.จุไร วงศ์สวัสดิ์ นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ และโฆษกกรมควบคุมโรค

พญ.จุไร กล่าวว่า ปกติมีการร่วมมือกันระหว่างประเทศ ในแง่ International Health Regulation : IHR ซึ่งเป็นการประสานแต่ละประเทศกับองค์การอนามัยโลกเราก็จะทราบข้อมูลตรงนั้น

อย่างไรก็ตาม ส่วนตัวมองว่า สหรัฐฯ หากมีโรคระบาดก็จะมีการประกาศอยู่แล้วเพราะเป็นประเทศที่เปิดเผย ไม่น่ามีปัญหา อย่างกรณีโรคหวัดนกในสหรัฐก็ไม่ได้มีการปิดอะไร ในเว็บไซต์ CDC ก็สามารถหาข้อมูลได้ ดังนั้น การป้องกันโรคจากต่างประเทศเข้าไทย คิดว่าไม่ได้รับผลกระทบเพราะเรามีระบบป้องกันจัดเตรียมไว้ก่อนแล้ว พญ.จุไร กล่าว

เมื่อถามว่าอย่างกฎอนามัยระหว่างประเทศ หรือกฎกติกาต่างๆ ที่ต้องร่วมมือเป็นหนึ่งเดียวในทั่วโลก จะได้รับผลกระทบหรือไม่ พญ.จุไร กล่าวว่า ไม่ทราบตอบได้แทน เพราะเป็นเรื่องทางองค์การอนามัยโลก และสหรัฐฯ ซึ่งต้องมีการพูดคุยกันถามต่อว่าความร่วมมือของไทยและสหรัฐเกี่ยวกับการป้องกันควบคุมโรค ยังเหมือนเดิมหรือไม่ พญ.จุไร กล่าวว่า ต้องมีการหารือกันก่อน เพราะมีคณะกรรมการหลายชุดที่ทำงานร่วมกันกับ US CDC

"ปัจจุบันประเทศต่างๆอยู่ในสมาชิกขององค์การอนามัยโลก จริงๆ ไม่ได้กังวลว่า หากมีโรคอะไรระบาดในสหรัฐ จะไม่มีใครรู้ เพราะเขาค่อนข้างโอเพ่น" พญ.จุไร กล่าว

เมื่อถามย้ำว่า หากเกิดโรคระบาดเหมือนโควิด โดยองค์การอนามัยโลกประกาศขอความร่วมมือแต่ละประเทศ แต่หากสหรัฐไม่ทำจะมีผลหรือไม่ พญ.จุไร กล่าวว่า เรื่องนี้ต้องผ่านการพูดคุยกัน ซึ่งคิดว่าสหรัฐ ไม่ได้ต้องการให้เกิดโรคระบาด คิดว่ายินดีให้ความร่วมมือ เพียงแต่อาจมีช่องทางอื่นๆ ทั้งหมดอยู่ที่การพูดคุย ไม่ต้องกังวลในเรื่องระบบเฝ้าระวังป้องกันโรคของไทย เรามีระบบนี้มานานและระดับนานาประเทศให้การยอมรับเรื่องนี้

สำหรับองค์การอนามัยโลกเป็นหน่วยงานสหประชาชาติที่ช่วยปกป้องสุขภาพและความมั่นคงด้านสาธารณสุขของคนทั่วโลก โดย นายโดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวถึงองค์การอนามัยโลกว่า ขูดรีดอเมริกาเนื่องจากงบประมาณ 1 ใน 5 ขององค์กรนี้มาจากสหรัฐฯ ซึ่งชาวอเมริกันหลายล้านคนที่โหวตเลือกเขามานั้นกำลังสงสัยในคุณค่าของหน่วยงานระหว่างประเทศนี้มากขึ้น 

มีการตั้งข้อสังเกตว่า การที่สหรัฐฯ ถอนตัวจากองค์การอนามัยโลกนั้นอาจจะส่งผลทำให้ขีดความสามารถของโลกในการป้องกันการระบาดครั้งใหม่ที่อาจจะเกิดขึ้นลดน้อยลง เนื่องจากสหรัฐฯ เป็นผู้บริจาครายใหญ่ที่สุดขององค์การอนามัยโลก ทั้งยังจัดหาเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุขให้องค์กรนี้จำนวนหลายร้อยคน

ทั้งนี้ มีรายงานว่าในปีงบประมาณ 2565-2566 สหรัฐฯ สนับสนุนงบประมาณให้องค์การอนามัยโลกสูงถึง 1,284 ล้านดอลลาร์สหรัฐ การประกาศถอนตัวออกจาก องค์การอนามัยโลกในครั้งนี้จึงเป็นการเสียประเทศมหาอำนาจที่เป็นผู้สนับสนุนใหญ่ซึ่งอาจจะกระทบต่อโครงการสุขภาพระดับโลกมากมายตามมาได้