"ไวรัส hMPV" โรคระบบทางเดินหายใจคล้ายไข้หวัด ในเด็กเล็กอาจปอดอักเสบรุนแรง

พญ.สีวลี สีดาฟอง กุมารแพทย์ แพทย์ผู้ชำนาญการโรคระบบทางเดินอาหารและตับในเด็ก รพ.วิมุต กล่าวว่า ไวรัส hMPV หรือ ฮิวแมนเมตะนิวโมไวรัส (Human Metapneumovirus) ไม่ใช่เชื้อโรคใหม่ พบผู้ป่วยติดเชื้อ hMPV ทุกปีในช่วงปลายฝนต้นหนาว เป็นเชื้อไวรัสที่ก่อให้เกิดการอักเสบในระบบทางเดินหายใจ

โรคนี้มีการค้นพบมานานแล้ว แต่การตรวจหาเชื้อในอดีตทำได้ยากเพราะข้อจำกัดด้านการตรวจวินิจฉัย แต่ปัจจุบันสามารถตรวจคัดกรองและช่วยให้ตรวจพบเชื้อ hMPV ได้แม่นยำและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทุกคนสามารถติดเชื้อ hMPV ได้ แต่มักพบบ่อยในเด็กเล็กอายุน้อยกว่า 5 ปี

อาการของโรค-เสี่ยงปอดอักเสบ

โดยการแพร่กระจายเชื้อ hMPV เกิดจากการไอ จาม พูดคุย การหายใจเอาละอองเชื้อในอากาศ หรือการสัมผัสพื้นผิวที่มีเชื้อแล้วเอามือมาแตะบริเวณตา จมูก ปาก พญ.สีวลี สีดาฟอง 

• ผู้ใหญ่อาการไม่รุนแรง มักมีไข้ ไอ และน้ำมูกเหมือนไข้หวัดธรรมดา 
• เด็กเล็กต้องระวังเป็นพิเศษ เพราะระบบทางเดินหายใจยังบอบบางและภูมิคุ้มกันยังไม่แข็งแรงดี มักมีอาการรุนแรง มีไข้สูง ไอมาก จนอาจลุกลามเป็นหลอดลมอักเสบหรือปอดอักเสบ

3 สัญญาณปอดอักเสบ

• ไข้ 
• ไอ
• หอบเหนื่อย 

ผู้ปกครองควรสังเกตบุตรหลานจากทั้ง 3 อาการ ต้องดูว่าการหายใจแรงจนหน้าอกบุ๋มหรือไม่ หายใจเร็ว หายใจติดขัด หายใจแล้วจมูกบานผิดปกติฟรือเปล่า หากพบอาการเหล่านี้ให้รีบพาเด็กๆ ไปพบแพทย์ทันที

hMPV รักษาได้

โรค hMPV มีอาการคล้ายไข้หวัดธรรมดา แต่คล้ายโรค RSV และโควิด-19 ทำให้ผู้ปกครองอาจไม่แน่ใจว่าลูกป่วยเป็นอะไร ปัจจุบันสามารถตรวจคัดกรองโรคเหล่านี้ได้อย่างแม่นยำด้วยการ swab หรือ RT-PCR แม้จะยังไม่มียาต้านไวรัส hMPV โดยตรง แต่สามารถรักษาตามอาการได้ เช่น จ่ายยาลดไข้หรือยาแก้ไอ โดยทั่วไปผู้ใหญ่จะหายดีภายใน 2-3 วัน ส่วนเด็กเล็กจะใช้เวลา 5-7 วัน 

พญ.สีวลี กล่าวว่า สำหรับในเด็กเล็กที่มีอาการรุนแรง เช่น ปอดอักเสบ หรือหลอดลมอักเสบ อาจต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล เพื่อพ่นยาขยายหลอดลม ดูดเสมหะ หรือเคาะปอด ในบางรายอาจมีเหนื่อยมาก ออกซิเจนต่ำ จนต้องให้ออกซิเจน เพื่อช่วยลดอาการดังกล่าว ซึ่งอาจต้องใช้เวลารักษานานกว่าปกติ

"hMPV ไม่ใช่โรคใหม่ สามารถรักษาได้ แล้วก็ป้องกันได้ด้วยการสวมหน้ากากอนามัยในที่แออัด หมั่นล้างมือให้สะอาด และหลีกเลี่ยงการกินอาหารร่วมกัน ส่วนคุณพ่อคุณแม่ก็อยากให้สังเกตอาการของลูกให้ดี หากมีอาการผิดปกติรุนแรง ควรรีบพาไปพบแพทย์ เพื่อรับการรักษาอย่างทันท่วงที"