นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ก่อนหน้าที่รัฐบาลจะปฏิบัติการปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์ชนิด “ไม่จบไม่เลิก”ตามนโยบายของนายกรัฐมนตรี หลังจากภารกิจตัดน้ำตัดไฟไม่ส่งน้ำมัน จนทำให้มีแก๊งคอลฯ ถูกจับกลุ่มหลายพันคน ทั้งทางฝั่งตะวันตกและตะวันออกของประเทศ ทำให้ได้ผลเป็นที่น่าพอใจ การหลอกลวงลักษณะนี้ลดลงไปมากกว่า 80%
แต่ปัจจุบันแม้จะลดลงเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ยังได้รับแจ้งความว่า แก๊งคอลเซ็นเตอร์นอกจากจะหลอกว่า เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ เป็น DSI เป็น ปปส. หรือ เป็นเจ้าหน้าที่ศาล หรือไปรษณีย์บ้าง โดยหลอกว่ามีพัสดุของเหยื่อมียาเสพติด หรือ เป็นผู้เกี่ยวข้องกับยาเสพติด หรือ การฟอกเงินแล้วหลอกลวงให้เหยื่อหลงเชื่อ จนโอนเงินเสียหายกันเป็นจำนวนมาก จนรู้จักกันดีว่า “กองร้อยปอยเปต”
ปัจจุบันแก๊งเหล่านี้ยังคงใช้มุกเดิม ๆ หลอกคนไทยอยู่ แต่ปัจจุบันก็เปลี่ยนมาเป็นรูปแบบ “แก๊งคอลสยิว” โดยคนร้ายเหล่านี้จะเข้าไปในโซเชียลมีเดียทั้ง TikTok Instagram หรือ Facebook และก๊อปปี้รูปภาพ คลิปวิดีโอ หรือกิจกรรมต่าง ๆ ของเจ้าของ แล้วนำมาเปิดบัญชีใหม่เป็นผู้หญิง หรือ ผู้ชายที่มีรูปร่างหน้าตาดี
จากนั้นก็จะอินบ็อกซ์เข้าไปพูดคุยกับเหยื่อ และขอแลก LINE หรือ คุยผ่าน Messenger ในเฟซบุ๊ก จนกระทั่งเหยื่อตายใจ ก็จะใช้วิธีการหว่านล้อมเพื่อให้เหยื่อหลงเชื่อ เช่น ชักชวนลงทุนเล่นการพนันหรือ ชวนอาบน้ำด้วยกัน หรือไม่ก็เปลือยกาย แล้วถ่ายอัดคลิปวิดีโอไว้ จากนั้นก็จะแสดงตนเป็นคนร้ายทันที เพื่อแบล็กเมลเรียกเงิน
ทั้งนี้ ตนและฝ่ายสืบสวนตำรวจไซเบอร์ ได้วางแผนจับกุมหลายครั้งในรอบ 1 เดือนที่ผ่านมา โดยกลุ่มแก๊งคอลฯ ดังกล่าวนี้ ล่าสุดได้ก๊อปปี้รูปและคลิปวิดีโอกิจกรรมต่าง ๆ ของตำรวจหญิง ยศ ร.ต.ท. คนหนึ่งในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่มีรูปร่างหน้าตาดีไปหลอกเหยื่อจำนวนมาก
ได้สอบถามพร้อมกับส่งข้อมูลไปที่ ร.ต.ท.หญิง คนดังกล่าว ซึ่งยืนยันว่า ร.ต.ท.หญิงคนดังกล่าวมีตัวตนจริง แต่ในบัญชีอื่น ๆ แจ้งว่าถูกก๊อบปี้รูปถ่ายของผู้หมวดหญิงคนนี้ ไปเปิดมากกว่า 10 บัญชี ทั้งทาง Facebook TikTok Instagram และ LINE ซึ่งการใช้โพรไฟล์ของตำรวจหญิง ก็เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับเหยื่อว่า ไม่ใช่แก๊งคอลฯ แน่นอน
หลังจากนั้นคนร้ายกลุ่มนี้ ก็นำโพรไฟล์ของผู้หมวดหญิงไปหลอกสนทนากับเหยื่อ โดยจะใช้วิธีการอินบ็อกซ์หรือกดไลค์ ตามด้วยคำหวานทำให้เหยื่อรู้สึกดี และพูดจาหวานล้อม หลอกให้เหยื่อหลงตายใจอย่างใจเย็น จากนั้นคนร้ายก็จะพยายามชักชวนให้ช่วยสนับสนุนเนื่องจากเป็นตำรวจเงินเดือนน้อย มีภารกิจ เช่น จะนำเงินไปซื้ออาวุธปืน จากนั้นก็จะชวนสนทนาในเรื่องเพศ
หากเหยื่อหลงกลก็เปลื้องผ้า หรือ ทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง คนร้ายก็จะก๊อปปี้ หน้าจอ หรือ อัดวิดีโอไว้แล้วนำมาแบล็กเมลเรียกเงินตั้งแต่หลักหมื่นไปจนถึงหลักล้าน ซึ่งคนร้ายกลุ่มดังกล่าวจะใช้วิธีดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง ทำให้เหยื่อจำนวนมากไม่กล้าแจ้งความ เนื่องจากจำนวนมากกลัวกระทบต่อครอบครัวและจำนวนไม่น้อยเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงในสังคม
ทั้งนี้การกระทำผิดของแก๊งคอลเซ็นเตอร์นี้ เป็นความผิดฐานข่มขืนใจผู้อื่น, กรรโชกทรัพย์, รีดเอาทรัพย์ และเผยแพร่สื่อลามก ตามกฎหมายอาญา มาตรา 309 337 338 และ 287 อีกทั้งยังมีความผิดตามกฎหมาย พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14 มีโทษทั้งจำทั้งปรับตั้งแต่ 3 - 10 ปี
ขณะที่พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผู้บัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) ตำรวจไซเบอร์ได้ติดตามตรวจสอบกลุ่มคนเหล่านี้แล้ว ซึ่งคาดว่า จะได้ตัวแก๊งเหล่านี้ในเร็ววันนี้
“ฝากเตือนภัยไปยังประชาชนให้ระวังรูปแบบนี้ ซึ่งมีประชาชนโดนแก๊งคอลเซ็นเตอร์ใช้วิธีการแบบนี้ ตกเป็นเหยื่อจำนวนมากในปัจจุบัน ทั้งนี้หากไม่พร้อมจะเปิดเผยตัวตนของเหยื่อ ก็ขอให้แจ้งเลขบัญชีที่เหยื่อโอนไปให้กับกลุ่มคอลเซ็นเตอร์เหล่านี้ เพื่อทางตำรวจจะได้สืบในทางลับว่า บัญชีของคนร้ายที่ใช้เป็นใคร
ส่วนหนึ่งได้รับข้อมูลทางบัญชีมาแล้ว พบว่าอยู่ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร และ ภาคเหนือ ซึ่งได้มอบหมายให้ทาง พลตำรวจตรี ศิริวัฒน์ ดีพอ ผบก.สอท. 1 (รับผิดชอบกรุงเทพมหานคร) และพลตำรวจตรี กฤตัชญ์ บำรุงรัตนยศ ผบก. สอท. 4 (รับผิดชอบภาคเหนือ 17 จังหวัด) เร่งดำเนินการแล้ว”
นายจิรายุ กล่าวต่อไปว่า ขอเตือนไปยังผู้ที่เล่นโซเชียลมีเดียให้ตระหนักรู้ไว้ว่า ตนเองไม่ใช่คนที่มีหน้าตาหล่อ หรือ สวย หรือโลกสวย รักแท้จะมีจริงในโลกไซเบอร์ เพราะกลุ่มคนร้ายจะใช้ LINE หรือรูปถ่ายที่ดูดีมีความล่อแหลมทางเพศ เมื่อเหยื่อหลงเชื่อก็จะติดกับดักเหล่านี้ ซึ่งในขณะที่ตำรวจกำลังติดตามจับ “แก๊งคอลสยิว” เหล่านี้ ส่วนหนึ่งอยู่ในกรุงเทพมหานครและทางภาคเหนือ และส่วนหนึ่งยังคงทำงานอยู่ในประเทศเพื่อนบ้าน
“ขอเตือนสังคมว่าให้ตระหนักไว้ว่านี้คือ “รักแท้ในคืนหลอกลวง..ของฟรีไม่มีในโลก” คนในโซเชียลมีเดีย ถ้าไม่ได้พบตัวจริง อย่าหลงเชื่อ อย่าโอน อย่าปล่อยใจให้เตลิดเด็ดขาด“
ทั้งนี้ คณะทำงานชุดสืบฯ หลังจากที่ได้ทำการล่อซื้อได้บันทึกรายละเอียดในทุกขั้นตอนที่คนร้ายใช้ทุกแพลตฟอร์ม และวิดีโอคอล เพื่อเป็นสื่อเตือนภัย ซึ่งพบว่า คนร้ายจะหว่านล้อมเหยื่อต่าง ๆ นานา โดยพยายามจะให้เหยื่อเปิดกล้องให้เห็นหน้าเพื่อก๊อปปี้ภาพ หรือ บันทึกคลิปไว้แบล็กเมลเรียกเงิน
หากเหยื่อไม่หลงกล ไม่เปิดให้เห็นหน้าเมื่อคนร้ายไม่สามารถปฏิบัติภารกิจแบล็กเมลได้สำเร็จ ก็จะปิดกล้องแล้วด่าหยาบคาย จากนั้นก็จะปิด TikTok หรือ Facebook ที่ตนเองก๊อปปี้ภาพจากคนอื่นมาทิ้ง ทั้งนี้รัฐบาลจึงขอเตือนประชาชนอย่าหลงกลกับคนร้ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ที่มาในรูปแบบนี้อย่างเด็ดขาด” นายจิรายุ กล่าว