เช็คด่วน 7 วิธีป้องกัน "ฝีดาษลิง"-2 แนวทางที่ควรทำมีอะไรบ้าง อ่านเลย

25 ก.ค. 2565 | 04:11 น.
อัปเดตล่าสุด :25 ก.ค. 2565 | 04:56 น.
1.6 k

เช็คด่วน 7 วิธีป้องกัน "ฝีดาษลิง"-2 แนวทางที่ควรทำมีอะไรบ้าง อ่านเลย หลังองค์การอนามัยโลกออกประกาศภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุขในระหว่างประเทศ

น.พ.เฉลิมชัย บุญยะลีพรรณ (หมอเฉลิมชัย) รองประธานกรรมาธิการการสาธารณสุข วุฒิสภา โพสต์ blockdit ส่วนตัว "ร้อยแปดพันเก้ากับหมอเฉลิมชัย" โดยมีข้อความว่า

 

ป้องกันตนเองจากการเป็นฝีดาษลิง ด้วย 7 หลีกเลี่ยง 2 ควรทำ

 

จากสถานการณ์การระบาด (Outbreak) ของฝีดาษลิง (Monkeypox) ซึ่งองค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ออกประกาศภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุขในระหว่างประเทศ (Public Health Emergency of International Concern) ไปแล้วนั้น

 

เนื่องจากฝีดาษลิง ได้เริ่มต้นการระบาดระลอกใหม่ เมื่อต้นเดือนพฤษภาคม 2565 จนถึงปัจจุบัน นับได้ประมาณ 2 เดือนเศษ มีการแพร่ระบาดไปแล้วมากถึง 75 ประเทศ ผู้ติดเชื้อมากกว่า 16,000 ราย

 

ที่สำคัญคือ ส่วนใหญ่ไม่มีประวัติเดินทางไปทวีปแอฟริกา จึงเป็นการแพร่ระบาดที่ออกนอกเขตโรคประจำถิ่น(Endemic) ในทวีปแอฟริกาแล้ว

 

ตลอดจนประเทศไทย ได้มีการวินิจฉัยยืนยันผู้ติดฝีดาษลิงรายแรกที่ภูเก็ต
จึงทำให้สาธารณะสนใจว่า ฝีดาษลิงจะต้องดูแลตนเองอย่างไร เพื่อไม่ให้ติดเชื้อ

เราจะมาสรุปมาตรการที่ทำได้ง่ายง่าย 9 มาตรการ เป็น 7 หลีกเลี่ยง และ 2 ควรทำ ดังนี้

 

1.หลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์กับหญิงหรือชายที่ให้บริการทางเพศ

  • เหตุผล : เนื่องจากพบว่าผู้ติดเชื้อกว่า 90% ล้วนแต่มีประวัติเพศสัมพันธ์กับผู้ที่เป็นฝีดาษลิง

 

2.หลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์หรือการมีคู่นอนหลายคนที่ไม่ใช่คู่ของตนเอง

  • เหตุผล : ผู้ติดเชื้อที่มาจากการมีเพศสัมพันธ์นั้น  ไม่จำเป็นต้องมาจากการซื้อบริการเท่านั้น สามารถติดต่อได้ในรายที่มีความสัมพันธ์แบบสมัครใจ โดยไม่ใช่การขายบริการทางเพศ

 

3.หลีกเลี่ยงการสัมผัสโดยตรงกับบุคคลอื่น ที่ไม่ใช่คนในครอบครัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรายที่ชัดเจนว่า มีผื่นตุ่มแดง หรือตุ่มหนอง

  • เหตุผล : ตุ่มแดงหรือตุ่มหนอง เป็นตำแหน่งที่มีไวรัสจำนวนมาก ติดต่อได้ง่าย

 

4.หลีกเลี่ยงการสัมผัสโดยตรงกับบุคคลอื่นที่ไม่ใช่คนในครอบครัว เช่น การจับมือ การสวมกอด การหอมแก้ม แม้จะไม่ปรากฏว่ามีผื่นหรือตุ่มให้สังเกตเห็น

  • เหตุผล : แม้จะไม่ได้สัมผัสตุ่มโดยตรง แต่ถ้าผู้ป่วยฝีดาษลิงนำมือไปสมบัติตุ่มของตนเอง แล้วมาสัมผัสบุคคลอื่น ก็อาจจะทำให้ติดเชื้อได้

 

5.หลีกเลี่ยงการใช้เสื้อผ้าข้าวของต่างๆร่วมกับบุคคลอื่น เช่น ผ้าเช็ดตัว ผ้าปูที่นอน แก้วน้ำ ช้อนส้อม

  • เหตุผล : เชื้อไวรัสจากผู้ป่วย สามารถมาอยู่ที่ข้าวของต่างๆดังกล่าวได้ และในระยะหลัง พบว่ามีตุ่มหนองตุ่มน้ำใสบริเวณปากมากขึ้น จึงต้องระวังเรื่องแก้วน้ำและช้อนส้อมด้วย

 

7 วิธีป้องกัน "ฝีดาษลิง"

 

6.หลีกเลี่ยงการที่ นำมือมาแคะจมูก ขยี้ตา หรือเข้าปาก

  • เหตุผล : ไวรัสที่ติดมือเรามา สามารถ ผ่านเยื่อบุที่บอบบางดังกล่าวได้

 

7.หลีกเลี่ยงการสัมผัสสัตว์ที่เป็นพาหะ โดยเฉพาะกลุ่มสัตว์ฟันแทะที่นำเข้าจากต่างประเทศ เช่น หนู กระต่าย เป็นต้น

  • เหตุผล : สัตว์ดังกล่าวเป็นพาหะหรือเป็นแหล่งของไวรัสก่อโรคฝีดาษลิง

8.หมั่นล้างมือบ่อยบ่อย

  • เหตุผล : การล้างมือด้วยสบู่หรือทำความสะอาดด้วยแอลกอฮอล์สามารถกำจัดเชื้อไวรัสได้

 

9.ควรใส่หน้ากากอนามัย เมื่ออยู่ในสถานที่เสี่ยงและใกล้ชิดกับคนเป็นจำนวนมาก

  • เหตุผล : เชื้อไวรัสก่อโรคฝีดาษลิงสามารถแพร่ผ่านฝอยละอองขนาดใหญ่ (Droplets) เช่น น้ำมูกหรือเสมหะที่เกิดจากการไอจามออกมาโดยตรง

 

อย่างไรก็ตาม ฝีดาษลิงยังไม่น่ากังวลมากเท่ากับโรคโควิด-19 เพราะ

 

  • ฝีดาษลิงติดต่อกันยากกว่าโควิด-19 เนื่องจากยังไม่มีหลักฐานการแพร่เชื้อทางฝอยละอองขนาดเล็กทางอากาศ(Aerosal) เหมือนโควิด-19
  • มีวัคซีนที่ใช้ป้องกันได้แล้ว คือใช้วัคซีนป้องกันฝีดาษคนหรือไข้ทรพิษซึ่งมีประสิทธิผลสูง 85% และผู้ที่เคยปลูกฝีมาแล้วในอดีต ยังสามารถป้องกันได้อยู่
  • แม้ยังไม่มียาต้านไวรัส(Antiviral Drug) โดยตรง แต่สามารถรักษาได้ด้วยยาต้านไวรัสในกลุ่มใกล้เคียงกัน
  • ฝีดาษลิงมีอัตราการเสียชีวิตไม่มากนักคือ 1-10% เมื่อเทียบกับฝีดาษคนที่เสียชีวิต 30%

 

แต่ก็มากกว่าไวรัสโอมิครอนที่ก่อโรคโควิดที่เสียชีวิตเพียง 0.1%

 

การมีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องและเพียงพอ จะทำให้ไม่ตื่นตระหนก และไม่ประมาทเกินเหตุ

 

โดยการดูแลง่าย ๆ 9 มาตรการดังกล่าวข้างต้น ทุกคนก็จะปลอดภัยจากการติดฝีดาษลิงได้

 

หมายเหตุ : หลายมาตรการเป็นสิ่งที่ทำเพื่อป้องกัน โควิด-19 อยู่แล้ว เช่น การล้างมือบ่อยบ่อย การใส่หน้ากากอนามัย การไม่นำมือมาสัมผัสกับเยื่อบุที่บอบบาง เป็นต้น