ดร.อนันต์ จงแก้ววัฒนา ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยนวัตกรรมสุขภาพสัตว์ และการจัดการ ศูนย์พันธุวิศวกรรม และเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) โพสต์เฟสบุ๊กส่วนตัว (Anan Jongkaewwattana)โดยมีข้อความระบุว่า
ไวรัสตัวอย่างนี้เพิ่งรายงานมาใน GISAID จากผู้ป่วยในอินเดีย พบว่า เป็นไวรัสสายพันธุ์ BA.2.75 ที่กำลังระบาดในพื้นที่
ความพิเศษคือ BA.2.75 นี้มีการกลายพันธุ์ที่เหมือนกับ BA.4/BA.5 แล้ว ที่ตำแหน่ง L452R
ขาดอีกเพียง 1 ตำแหน่งที่ F486V ก็จะทำให้ไวรัส BA.2.75 นี้ได้เปลี่ยนไปใกล้เคียง BA.4/BA.5
ตัวอย่าง BA.2.75 ที่มี L452R นี้ มีรายงานมา 4 ตัวอย่าง ในตอนนี้โดยมีการคำนวณคร่าวๆว่า
อาจมีการแพร่กระจายอยู่ประมาณ 4000 คน ในตอนนี้เพราะอินเดียทำการถอดรหัสค่อนข้างช้ากว่าหลายประเทศ
และถ้าดูแนวโน้มการเพิ่มจำนวนของ BA.2.75 ในหลายประเทศนอกอินเดียแล้ว
มีโอกาสที่สายพันธุ์นี้จะเป็นสายพันธุ์สร้างปัญหาได้ในอนาคต
ดร.อนันต์ ยังโพสต์ด้วยว่า
ทุกครั้งเวลามีสายพันธุ์โควิดใหม่ๆออกมา ความสนใจจะมุ่งไปที่ไวรัสนั้นจะหนีภูมิคุ้มกันได้มากน้อยแค่ไหน
โดยภูมิคุ้มกันที่สนใจกันมากที่สุดคือระดับภูมิแอนติบอดีที่อยู่ในร่างกายซึ่งได้รับการกระตุ้นจากวัคซีน
หรือจากการติดเชื้อจากธรรมชาติ เชื่อว่าถ้าแอนติบอดีมีสูงมากพอที่จะยับยั้งไวรัสในการติดเชื้อได้ น่าจะช่วยให้อาการของโรคไม่รุนแรง
และไวรัสอาจจะถูกเคลียร์ออกจากร่างกายได้ไว โดยการเปลี่ยนแปลงที่จะหนีการจับของแอนติบอดีดังกล่าวจะเกิดขึ้นที่โปรตีนหนามสไปค์
ซึ่งเป็นข้อมูลหลักที่เราเข้าใจ และ ใช้แยกไวรัสที่มีการเปลี่ยนแปลงเหล่านั้นเป็นสายพันธุ์ที่น่าจับตามอง
แต่การเปลี่ยนแปลงของไวรัสไม่ได้เกิดขึ้นบนโปรตีนหนามสไปค์อย่างเดียว เช่น BA.4 และ BA.5 มีหนามสไปค์ที่เหมือนกัน 100%
แต่คุณสมบัติของไวรัสสองสายพันธุ์นี้ค่อนข้างต่างกันชัดเจน โดย BA.5 น่าจะสร้างปัญหาได้มากกว่า
สาเหตุหนึ่งคือ ร่างกายของเรามีภูมิคุ้มกันอีกประเภทหนึ่งเรียกว่า innate immunity ซึ่งจะเป็นปราการด่านแรกๆ ที่ร่างกายเราใช้ต่อต้านการติดเชื้อของไวรัส
โดยเมื่อร่างกายเรารู้สึกได้ว่ามีสิ่งแปลกปลอมจะมีการสร้างสร้างต้านไวรัสชื่อว่า Interferon ขึ้นมาแบบไวกว่าแอนติบอดีมากๆ
ซึ่งสารดังกล่าวถ้าทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงจะสามารถจัดการกับไวรัสได้แบบ 100%
ร่างกายจะสามารถกำจัดไวรัสในช่วงระยะฟักตัว แบบไม่มีอาการใดๆเกิดขึ้นเลย
ซึ่งหมายถึง อาจได้รับเชื้อ แต่ไม่ติดเชื้อ ไม่จำเป็นต้องอาศัยแอนติบอดีใดๆมาทำงานป้องกันไวรัสติดเชื้อเลย
แต่ถ้าไวรัสสามารถถูกจัดการด้วย Interferon ได้ง่ายแบบนั้น ไวรัสจะไม่สามารถดำรงอยู่ในโฮสต์ได้เลย
ไวรัสจึงมีกลไกต่างๆในการหนีการทำงานของ Interferon ได้ ผ่านการทำงานของโปรตีนต่างๆที่ไม่ใช่โปรตีนหนามของสไปค์
และการเปลี่ยนแปลงต่างๆนอกโปรตีนหนามอาจมีส่วนทำให้ไวรัสเพิ่มความสามารถในการหนีการทำงานของ Interferon ได้สูงขึ้น
ผลงานวิจัยล่าสุดที่ตีพิมพ์ออกมาในวารสาร PNAS ออกมาชัดเลยครับว่า
ไวรัส SARS-CoV-2 ที่ออกมาในแต่ละรุ่นมีการเปลี่ยนแปลงตัวเองในการหนีการจับของ Interferon ได้สูงขึ้นมาก
สายพันธุ์โอมิครอนวันนี้เทียบไม่ติดเลยกับสายพันธุ์ดั้งเดิมจาก Wuhan ซึ่งข้อมูลนี้บอกได้ค่อนข้างชัดว่า
ทำไมไวรัสใหม่ๆถึงติดง่าย มากกว่าสายพันธุ์ดั้งเดิมไปเรื่อยๆ สายพันธุ์ในอนาคตก็จะเปลี่ยนหนี Interferon ได้มากขึ้นเรื่อยๆ
การเฝ้าระวังการเปลี่ยนแปลงของไวรัสนอกโปรตีนหนามสไปค์จะช่วยให้เราเห็นภาพการเปลี่ยนแปลงของไวรัสชัดขึ้นเรื่อยๆ