ผลกระทบนโยบายประธานาธิบดีทรัมป์ 2.0 หุ้นไทยใครรอด?

21 ม.ค. 2568 | 15:28 น.
อัปเดตล่าสุด :21 ม.ค. 2568 | 15:30 น.

หลังประธานาธิบดี "ทรัมป์" เข้ารับตำแหน่ง ประกาศนโยบายก้าวแรกปลดล็อกพลังงานฟอสซิล หนุนอุปทานตลาดโลกสูง ฉุดส่วนต่างราคาน้ำมันร่วง เลิกส่งเสริมผลิตรถ EV ความต้องการยางหดตัว และ ยกเครื่องระบบการค้าสหรัฐฯ เก็บภาษีอากรจากต่างประเทศ กดดันส่งออกไทย

นักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เปิดมุมมองต่อ การประกาศนโยบายของประธานาธิบดี "โดนัลด์ ทรัมป์" หลังเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีคนที่ 47 ของสหรัฐอเมริกา วานนี้ ว่า ประธานาธิบดีทรัมป์กล่าวว่าจะใช้อำนาจประธานาธิบดีลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหารเพื่อประกาศภาวะฉุกเฉินด้านพลังงานแห่งชาติ เพื่อลดราคาพลังงานในสหรัฐฯ โดยตั้งเป้าลดราคาน้ำมันเบนซินและค่าไฟของชาวอเมริกันลงครึ่งหนึ่งภายในช่วงปีแรกที่เขาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี

ทั้งนี้ ประธานาธิบดีทรัมป์ประกาศจะอนุมัติให้มีการเพิ่มการขุดเจาะน้ำมัน วางท่อน้ำมัน ตั้งโรงกลั่นน้ำมันใหม่ รวมถึงสร้างโรงไฟฟ้าใหม่ ทำให้ราคาน้ำมันดิบ Brent ปรับตัวลงเล็กน้อยในวานนี้ ราคาสัญญาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันดิบ Brent ปรับตัวลงเล็กน้อย 0.8% เป็น 80.2 บาร์เรล/ดอลลาร์

นโยบายอื่นๆ ประธานาธิบดีทรัมป์ยังมีการประกาศนโยบายในด้านอื่นๆ อีกมากมาย โดยนโยบายที่สำคัญที่อาจจะกระทบต่อหุ้นที่ฝ่ายวิจัยดูแล คือ การยกเครื่องระบบการค้าของสหรัฐฯ ด้วยการเก็บภาษีอากรจากต่างประเทศเพื่อสร้างความร่ำรวยให้ชาวอเมริกัน, การยกเลิกนโยบายส่งเสริมการผลิตยานยนต์ไฟฟ้า (EV) รวมถึงการถอนตัวออกจากข้อตกลงปารีส ซึ่งเป็นความตกลงตามกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

โดยฝ่ายวิจัยมีมุมมองเป็นลบต่อแนวโน้มราคาพลังงานในระยะยาว เชื่อว่าหากประธานาธิบดีทรัมป์สามารถดำเนินนโยบายได้ตามแผน จะส่งผลลบต่อราคาน้ำมันดิบ ราคาก๊าซ LNG รวมถึงส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์น้ำมันและราคาน้ำมันดิบ (crack spread) ในระยะยาวได้เนื่องจากอุปทานที่สูงขึ้นในตลาดโลก

แต่จะส่งผลบวกต่อราคาก๊าซธรรมชาติสหรัฐฯ (Henry Hub) ได้เนื่องจากอุปสงค์การส่งออกที่สูงขึ้น ในขณะเดียวกันกลุ่มโรงกลั่นน่าจะได้รับผลกระทบจากแนวโน้ม crack spread ที่อ่อนตัวตามอุปทานที่สูงขึ้น โดยในระยะยาวฝ่ายวิจัยมองเป็นลบต่อ PTTEP (แนะนำซื้อ ราคาเป้าหมาย 160.00 บาท), TOP (แนะนำซื้อ ราคาเป้าหมาย 36.00 บาท), SPRC (แนะนำซื้อ ราคาเป้าหมาย 8.50 บาท), BCP (แนะนำซื้อ ราคาเป้าหมาย 40.00 บาท)

แต่มีมุมมองที่เป็นบวกต่อกลุ่มโรงไฟฟ้า มีโอกาสที่ราคาก๊าซธรรมชาติในตลาดโลกลดลง จากการผลิตและส่งออกก๊าซธรรมชาติที่มากขึ้นของสหรัฐฯ จะช่วยเพิ่มอุปทานในตลาดโลกมากขึ้น หุ้นที่ได้ positive sentiment จากประเด็นดังกล่าวคือ GPSC (แนะนำซื้อ ราคาเป้าหมาย 60.00 บาท), BGRIM (แนะนำซื้อ ราคาเป้าหมาย 35.00 บาท), GULF (แนะนำถือ ราคาเป้าหมาย 60.00 บาท) เป็นลบต่อกลุ่มพลังงานและกลุ่มส่งออก

ขณะที่นโยบายยกเครื่องระบบการค้าสหรัฐฯ ด้วยการเก็บภาษีอากรจากต่างประเทศ แม้ปัจจุบันประธานาธิบดีทรัมป์ จะยังไม่มีการประกาศนโยบาย tariffs ตั้งแต่วันแรกของการรับเข้าตำแหน่ง โดยยังให้ทีมบริหารศึกษาอยู่ อย่างไรก็ดียังย้ำถึงนโยบายเก็บภาษีเพื่อสร้างรายได้เข้าประเทศ

โดยกลุ่มประเทศที่มีโอกาสได้รับผลกระทบเป็นกลุ่มแรก ได้แก่ จีน แคนาดา และเม็กซิโก อย่างไรก็ตาม สำหรับประเทศอื่นๆ รวมถึงไทยยังต้องติดตามต่อ ทั้งนี้ หุ้นกลุ่มส่งออกไทยที่มีสัดส่วนรายได้ส่งออกไปสหรัฐฯ สูง ได้แก่ AAI (แนะนำถือ ราคาเป้าหมาย 6.00 บาท) และ ITC (แนะนำถือ ราคาเป้าหมาย 22.50 บาท) ราว 50% และ TU (แนะนำถือ ราคาเป้าหมาย 14.50 บาท) 40%

สำหรับนโยบายยกเลิกส่งเสริมการผลิตยานยนต์ไฟฟ้า ฝ่ายวิจัยมองเป็น sentiment ลบต่อหุ้นกลุ่มยาง แม้ปัจจุบันรายได้ส่งออกของ NER (แนะนำถือ ราคาเป้าหมาย 5.50 บาท) จะเป็นการส่งออกไปจีนเป็นหลัก แต่นโยบายดังกล่าวอาจส่งผลให้ความต้องการยานยนต์ไฟฟ้าของตลาดโลกลดลง และอาจกระทบราคายางในอนาคต