สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้รับข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเมื่อเดือนธันวาคม 2564 และตรวจสอบเพิ่มเติม พบผู้กระทำความผิด 2 ราย ได้แก่ 1. นายสุธี ศิริพรพิทักษ์ และ 2. นายพีรณัฐ ศิริพรพิทักษ์ ซึ่งเป็นบุตรของนายสุธี ได้ร่วมกันกระทำความผิดฐานสร้างราคาหลักทรัพย์ในช่วงระหว่างการซื้อขายภาคบ่ายของวันที่ 18 สิงหาคม 2564 ถึงวันที่ 31 สิงหาคม 2564
โดยนายสุธีและนายพีรณัฐ มีเส้นทางการเงินและทางหุ้นเกี่ยวเนื่องกัน รวมทั้งนายสุธีเป็นผู้รับมอบอำนาจในการส่งคำสั่งซื้อขายในบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ของนายพีรณัฐ ซึ่งในช่วงเกิดเหตุนายสุธีส่งคำสั่งซื้อขายหุ้น RPC ในบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ของนายพีรณัฐในลักษณะสร้างราคา ทำให้บุคคลทั่วไปเข้าใจผิดเกี่ยวกับราคาหรือปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์ เช่น ผลักดันราคาต่อเนื่อง สลับขายทำกำไรระหว่างวัน ครองคำสั่งเสนอซื้อ (Bid) และทำราคาปิด เป็นต้น
ขณะเดียวกันนายพีรณัฐได้ขายหุ้น RPC ในบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์อื่นของตนเอง ในลักษณะสอดรับกับการซื้อขายในบัญชีหลักทรัพย์ที่ได้มอบอำนาจให้นายสุธีส่งคำสั่งซื้อขายในลักษณะสร้างราคาดังกล่าว
การกระทำของบุคคลทั้ง 2 รายข้างต้น เป็นความผิดตามมาตรา 244/3 (1) ประกอบมาตรา 244/6 (2) (3) แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 (พ.ร.บ. หลักทรัพย์ฯ) แล้วแต่กรณี ประกอบมาตรา 83 แห่งประมวลกฎหมายอาญา ซึ่งต้องระวางโทษตามมาตรา 296 มาตรา 296/2 และมาตรการลงโทษทางแพ่งตามมาตรา 317/4 และมาตรา 317/5 แห่งพระราชบัญญัติฉบับเดียวกัน
คณะกรรมการพิจารณามาตรการลงโทษทางแพ่ง (ค.ม.พ.) จึงมีมติให้นำมาตรการลงโทษทางแพ่งมาใช้บังคับกับผู้กระทำความผิดทั้ง 2 ราย ดังนี้
มาตรการลงโทษทางแพ่งที่ ค.ม.พ. กำหนดจะมีผลเมื่อผู้กระทำความผิดลงนามในบันทึกการยินยอมปฏิบัติตามมาตรการลงโทษทางแพ่งที่ ค.ม.พ. กำหนด หากผู้กระทำความผิดไม่ยินยอม ก.ล.ต. จะมีหนังสือขอให้พนักงานอัยการดำเนินการฟ้องคดีต่อศาลแพ่งเพื่อกำหนดมาตรการลงโทษทางแพ่งในอัตราสูงสุดที่กฎหมายบัญญัติ โดยไม่ต่ำกว่าอัตราที่ ค.ม.พ. กำหนด
ทั้งนี้ เงินค่าปรับทางแพ่งและเงินค่าชดใช้คืนผลประโยชน์ที่ได้รับหรือพึงได้รับจากการกระทำความผิดเป็นรายได้แผ่นดินที่นำส่งกระทรวงการคลัง