ตลาดการเงินปี 2567 เต็มไปด้วยความผันผวนจากปัจจัยรอบด้าน ทั้งความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ วิกฤตพลังงาน และนโยบายการเงินเข้มงวดเพื่อควบคุมเงินเฟ้อ
อย่างไรก็ตาม กลุ่มหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่ที่รู้จักกันในชื่อ 7 นางฟ้า หรือ Magnificent 7 (Apple, Microsoft, Alphabet, Amazon, NVIDIA, Meta และ Tesla) ยังคงเป็นแรงขับเคลื่อนหลักของตลาด ด้วยการเติบโตของธุรกิจที่แข็งแกร่งจากกระแสปัญญาประดิษฐ์ (AI)
หากดูข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ จะพบว่า ดัชนี S&P500 ให้ผลตอบแทนในปี 2567 ถึง 24% ซึ่งแสดงให้เห็นการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างที่สำคัญของตลาดทุน เมื่อ Magnificent 7 มีสัดส่วนมูลค่าตลาดรวมกันถึง 28% ของตลาด ซึ่งสูงที่สุดในรอบ 40 ปี
สะท้อนถึงบทบาทของเทคโนโลยีที่มีต่อระบบเศรษฐกิจสมัยใหม่ ปรากฏการณ์นี้ส่งผลให้นักลงทุนต้องปรับเปลี่ยนมุมมองการวิเคราะห์และการบริหารความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุน
การก้าวเข้าสู่ปี 2568 จึงอาจมาพร้อมกับความท้าทายรูปแบบใหม่ หลังจากชัยชนะของ Donald Trump ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ นโยบายการค้าและภาษีที่เข้มงวดกำลังจะกลับมามีบทบาท
นักวิเคราะห์จาก Bloomberg และ Reuters ต่างคาดว่า จะเห็นการปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเพิ่มเติมราว 20% และอาจขยายมาตรการไปสู่ประเทศอื่นๆ โดยเฉลี่ย 5% ซึ่งจะส่งผลต่อห่วงโซ่อุปทานโลกและการค้าระหว่างประเทศ
สำหรับในด้านนโยบายการเงินที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) มีแนวโน้มจะเริ่มผ่อนคลายนโยบายการเงินในปี 2568 โดยตลาดคาดการณ์ว่าการปรับอัตราดอกเบี้ยลง อาจเกิดขึ้น 2-3 ครั้ง แต่จากการวิเคราะห์ข้อมูลในอดีตพบว่า การขึ้นภาษีนำเข้าอาจทำให้เงินเฟ้อกลับมาเร่งตัวขึ้นอีกครั้ง ซึ่งอาจทำให้ Fed ต้องชะลอการปรับลดดอกเบี้ยลง
อย่างไรก็ตาม จากนโยบายของประธานาธิบดีสหรัฐคนใหม่ ที่อาจจะก่อให้เกิดสงครามการค้านั้น จากผลการวิเคราะห์ข้อมูลในอดีตด้วยโมเดล Quant แสดงให้เห็นว่า ช่วงที่มีความตึงเครียดทางการค้า หุ้นในกลุ่มที่พึ่งพาตลาดในประเทศ(Domestic Play) มักจะมีเสถียรภาพมากกว่ากลุ่มที่พึ่งพาการส่งออก
ขณะที่บริษัทที่มีความสามารถในการแข่งขันสูงมักจะรักษาความสามารถในการทำกำไรได้ดีกว่า โดยเฉพาะบริษัทที่มีอำนาจในการกำหนดราคา (Pricing Power) และมีฐานะการเงินแข็งแกร่ง
การศึกษาพฤติกรรมราคาหุ้นย้อนหลังยังชี้ให้เห็นว่า หุ้นที่มีคุณลักษณะของ Quality Factor โดดเด่น เช่น มีความสม่ำเสมอของกำไร อัตราผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE) สูง และมีหนี้สินต่ำ มักจะสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาวและทนทานต่อความผันผวนของตลาดได้ดีกว่า
ย้อนกลับมาสำรวจตลาดหุ้นไทยในปีที่ผ่านมา 2567 การลงทุนในหุ้นไทยสไตล์ Value จะมีโอกาสให้ผลตอบแทนดีที่สุด และสไตล์การลงทุนแบบ Momentum ให้ผลตอบแทนน้อยที่สุด ดังนั้นในจังหวะที่ตลาดทุนยังผันผวน การลงทุนในปี 2568 มี 3 แนวทางที่นักลงทุนควรต้องให้ความสำคัญ คือ
(1) การกระจายความเสี่ยงอย่างเหมาะสม; ควรผสมผสานระหว่างหุ้นไทยที่มีพื้นฐานแข็งแกร่งและการลงทุนในต่างประเทศ สร้างสมดุลระหว่างหุ้นเติบโต (Growth) หุ้นที่มีเสถียรภาพ (Defensive) และผลตอบแทนไม่ค่อยขึ้นกับตลาด (Low Beta) รวมทั้งกระจายการลงทุนไปยังสินทรัพย์หลากหลายประเภทรวมถึงตราสารหนี้และสินทรัพย์ทางเลือก
ถัดมา (2) เลือกหุ้นด้วยปัจจัยเชิงคุณภาพ (Quality); ให้มองหาบริษัทที่มีความได้เปรียบในการแข่งขันชัดเจน พิจารณาความสามารถในการรักษาอัตรากำไรในภาวะต้นทุนสูง และให้ความสำคัญกับคุณภาพของงบดุลและกระแสเงินสด
และสุดท้าย (3) ใช้กลยุทธ์การลงทุนที่เหมาะสม; โดยทยอยลงทุนอย่างสม่ำเสมอ (DCA) เพื่อลดความเสี่ยงจากความผันผวน และพร้อมปรับพอร์ตการลงทุนตามการเปลี่ยนแปลงของปัจจัยพื้นฐานและภาวะตลาด
สำหรับกลุ่มหุ้นที่น่าสนใจของตลาดทุนไทย มี 3 กลุ่มหุ้นคือ
สำหรับนักลงทุนที่ต้องการความสะดวกในการลงทุนและบริหารพอร์ต สามารถเลือกลงทุนผ่านกองทุนรวมที่มีนโยบายการลงทุนสอดคล้องกับธีมการลงทุนในปี 2568 ได้ อาทิ
อย่างไรก็ดี ต้องไม่ลืมด้วยว่าการติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและการปรับกลยุทธ์ให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงจะเป็นกุญแจสำคัญของความสำเร็จในการลงทุนปี 2568 โดยเฉพาะในช่วงที่นโยบายการค้าของสหรัฐฯ เริ่มส่งผลกระทบชัดเจน ซึ่งนักลงทุนควรให้ความสำคัญกับการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกและการบริหารความเสี่ยงอย่างรอบคอบ