CIMBT ผนึก ทรูมันนี่ เปิดช่องทางเอื้อคนไทยเข้าถึงลงทุนหุ้นกู้ตลาดรอง

05 ต.ค. 2567 | 17:24 น.
อัปเดตล่าสุด :05 ต.ค. 2567 | 17:25 น.

CIMBT จับมือ ทรูมันนี่ เปิดโอกาสให้คนไทย-ผู้ใช้กว่า 34 ล้านคน เข้าถึงการลงทุนในหุ้นกู้คุณภาพดี ได้ทุกที่ ทุกเวลา เป็นอีกทางเลือกการลงทุนที่ให้รับผลตอบแทนมากกว่าเงินฝากประจำ ยิ้มเปิดตัว 3 สัปดาห์ ยอดจองหุ้นกู้พุ่ง 100 ล้านบาท มั่นใจสิ้นปีนี้แตะ 2 พันล้าน

นายพอล วอง ชี คิน กรรมการผู้จัดการใหญ่ และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย เปิดเผยว่า ธนาคารต้องการให้เกิด Digital Ecosystem ตามวิสัยทัศน์ของการเป็น "a Digital-led Bank with ASEAN Reach : ธนาคารอาเซียนขับเคลื่อนด้วยดิจิทัล" เพื่อส่งมอบบริการอันเป็นเลิศให้ลูกค้า พัฒนาธุรกิจ และเพิ่มศักยภาพการแข่งขัน

CIMBT ผนึก ทรูมันนี่ เปิดช่องทางเอื้อคนไทยเข้าถึงลงทุนหุ้นกู้ตลาดรอง

โดยนำเอาจุดแข็งด้านความเชี่ยวชาญธุรกิจ Wealth Management ของธนาคาร เดินหน้าผนึกกำลังกับพันธมิตรที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านอย่าง บริษัท ทรูมันนี่ จำกัด ผู้นำด้านการให้บริการทางการเงินแบบดิจิทัล ซึ่งในความร่วมมือครั้งนี้เป็นการใช้เทคโนโลยี เปิดช่องทางใหม่ให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงการลงทุนหุ้นกู้คุณภาพดีที่ CIMB THAI คัดสรรมาแล้วได้ 24 ชั่วโมง ตลอด 7 วัน ผ่านแอปทรูมันนี่ จากทุกที่ ทุกเวลา ทั่วโลก

นายธัญญพงศ์ ธรรมาวรานุคุปต์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ (ร่วม) บริษัท แอสเซนด์ มันนี่ จำกัด กล่าวว่า แอสเซนด์ มันนี่ และ ทรูมันนี่ มีพันธกิจในการมอบการเข้าถึงบริการทางการเงินและยกระดับชีวิตให้กับผู้คนผ่านการสร้างนวัตกรรมทางการเงิน โดยการจับมือกับ ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย เพื่อเปิดให้ผู้ใช้สามารถซื้อ "หุ้นกู้ตลาดรอง" (Secondary Bond) ผ่านแอปทรูมันนี่ในครั้งนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญในการมอบความสะดวกสบาย และ ช่วยขจัดอุปสรรคในการเข้าถึงการลงทุน

CIMBT-ทรูมันนี่

เนื่องจากปกติแล้ว "หุ้นกู้ตลาดแรก" หรือ ที่เรียกว่า "หุ้นกู้มือหนึ่ง" นั้นมีจำนวนไม่มาก และมีขั้นตอนในการติดต่อขอจองซื้อที่ยุ่งยาก ทำให้ไม่ใช่ทุกคนจะสามารถเข้าถึงได้ ทางทรูมันนี่ จึงร่วมกับ ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย ทำให้การลงทุนในหุ้นกู้เป็นเรื่องง่ายยิ่งขึ้นผ่านแพลตฟอร์ม และเทคโนโลยีของบริษัท

พร้อมส่งเสริมให้นักลงทุนรายย่อยที่อาจยังไม่คุ้นเคยกับการลงทุนในหุ้นกู้ตลาดรองได้เข้ามาศึกษา และเลือกลงทุน เพราะเป็นทางเลือกที่เหมาะกับผู้ที่ต้องการกระจายการลงทุนไปยังสินทรัพย์ที่ให้ดอกเบี้ยสูงกว่าเงินฝากประจำ โดยหุ้นกู้ตลาดรองสามารถสร้างผลตอบแทนสูงถึง 5% ต่อปี

ในครั้งนี้ ทรูมันนี่ จับมือกับธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย ที่มีความเชี่ยวชาญเรื่องของหุ้นกู้ตลาดรอง มีหุ้นกู้ตลาดรองให้เลือกหลากหลาย อัปเดตใหม่ทุกสัปดาห์ และซื้อได้ทุกวันผ่านแอปทรูมันนี่

พร้อมกันนี้ ผู้ลงทุนยังมั่นใจอุ่นใจได้ในความปลอดภัย เพราะเป็นการร่วมมือกับสถาบันการเงินชั้นนำอย่าง ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย เพื่อคัดสรรหุ้นกู้ Investment Grade คุณภาพดี เหมาะสำหรับนักลงทุนมืออาชีพ และนักลงทุนหน้าใหม่ และธนาคารมีเกณฑ์ในพิจารณาเลือกซื้อหุ้นกู้

ซึ่งหนึ่งในนั้น คือ ต้องเป็นบริษัทที่มีพื้นฐานธุรกิจแข็งแกร่ง และแพลตฟอร์มทรูมันนี่ของบริษัทที่มีระบบความปลอดภัยที่ใช้เอไอในการ ตรวจ จับ หยุด ทุกความเสี่ยง และ ปกป้องบัญชีลูกค้า

นายเพา จาตกานนท์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธุรกิจบริหารเงิน ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย กล่าวว่า การบริหารเงินเพื่อสร้างความมั่งคั่งให้ลูกค้า คือ เป้าหมายสำคัญของธนาคาร โดยธนาคารมุ่งมั่นผลักดันให้ "ตราสารหนี้ตลาดรอง (Secondary Bond)" เติบโตขึ้น สร้างสภาพคล่องให้สามารถซื้อ-ขายเปลี่ยนมือได้ตลอด เพื่อตอบโจทย์ของนักลงทุนทุกกลุ่ม ทั้งสถาบัน นิติบุคคล รวมถึงนักลงทุนรายย่อย

โดยการร่วมมือครั้งนี้กับบริษัท ทรูมันนี่ จำกัด สอดรับกับกลยุทธ์ของธนาคาร ผ่านการนำเสนอผลิตภัณฑ์ "ตราสารหนี้ตลาดรอง (Secondary Bond)" ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่ธนาคารเป็นผู้นำตลาดในปัจจุบัน สะท้อนจากรางวัลใหญ่ "Best Bond Dealer : ธนาคารที่เป็นที่ยอมรับในความสามารถในการให้บริการกับคู่ค้าในตลาดรองที่ยอดเยี่ยม"

และรางวัล "Most Active Bank in Corporate Bond Secondary Market : ธนาคารที่มีมูลค่าซื้อ-ขายหุ้นกู้เอกชนตลาดรองสูงที่สุด" จาก ThaiBMA ติดต่อกัน 5 ปีซ้อน (2019-2023) ซึ่งทั้ง 2 รางวัลเป็นเครื่องการันตีว่า ธนาคารมี “พันธบัตรและหุ้นกู้ตลาดรองคุณภาพดี” พร้อมรองรับความต้องการของนักลงทุนตลอดปี

"การทำงานร่วมกันกับพันธมิตรที่แข็งแกร่ง จะช่วยเสริมให้คนไทยและผู้ใช้งานทรูมันนี่ที่มีไลฟ์สไตล์ดิจิทัล 34 ล้านคน สามารถเข้าถึงโอกาสบริการทางการเงินได้อย่างสะดวก และรวดเร็ว สามารถจัดสรรเงินออมมาลงทุนพันธบัตร และหุ้นกู้คุณภาพดีได้ทุกวัน สร้างโอกาสให้กับนักลงทุนได้เติบโตอย่างมั่งคั่ง และมั่นคง"นายเพา กล่าว

ทรูมันนี่ 1

ทรูมันนี่ 2

นายภูดินันท์ เศรษฐนันท์ ผู้บริหารพัฒนาผลิตภัณฑ์การเงิน ธุรกิจผลิตภัณฑ์การเงินและที่ปรึกษา Equity Derivatives และ ผู้บริหารการขายลูกค้าบุคคลธนกิจ ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า ตลาดตราสารหนี้ปัจจุบันมีมูลค่าการซื้อ-ขาย อยู่ที่ 5,921,913 ล้านบาท (ข้อมูล : มูลค่าธุรกรรมซื้อขายตราสารหนี้ทุกประเภทที่มีอายุมากกว่า 1 ปี ม.ค. - ก.ย. 67 จากสมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย) 

แม้ว่าจะมีลูกค้าบุคคลเข้ามาเป็นผู้เล่นในตลาดรองเพิ่มขึ้น และมีมูลค่าซื้อขายมีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนแตะระดับ 37,089 ล้านบาท ในปัจจุบัน แต่ก็คิดเป็นสัดส่วนไม่ถึง 1% เมื่อเทียบกับมูลค่าการซื้อ-ขายทั้งตลาด  และเมื่อหันกลับมาที่ตลาดหุ้นกลับพบว่า ลูกค้าบุคคลมีสัดส่วนสูงถึง 30% นั่นหมายถึง "โอกาส"

และธนาคารเองในฐานะผู้นำ รวมถึงเป็นผู้บุกเบิกตราสารหนี้ตลาดรองของลูกค้าบุคคล ธนาคารมุ่งมั่นผลักดันให้ลูกค้าบุคคลเข้าถึงโอกาสของการลงทุนในตราสารหนี้ตลาดรอง เพื่อเข้ามาเป็นผู้เล่นสำคัญที่ทำให้ตลาดตราสารหนี้นี้เติบโตได้อย่างก้าวกระโดด และ มีสภาพคล่องทัดเทียมตลาดหุ้น เพื่อให้เป็นอีกแหล่งระดมทุนที่สำคัญของประเทศ

สำหรับการร่วมมือกับ บริษัท ทรูมันนี่ จำกัด ที่มีบริการหลากหลายครอบคลุมไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของลูกค้าในครั้งนี้ คือ หนึ่งในกลยุทธ์สำคัญ ที่ทำให้ธนาคารเข้าถึงลูกค้าได้ในวงกว้าง ในขณะเดียวกันก็สามารถพาลูกค้าผู้ใช้งานทรูมันนี่เข้าถึงการลงทุนตราสารหนี้ โดยเฉพาะในช่วงเวลานี้หลังเฟดลดดอกเบี้ย

ซึ่งเปิดโอกาสให้ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ปรับลดดอกเบี้ยลงเช่นกัน จึงเป็นจังหวะของการลงทุนพันธบัตร และ หุ้นกู้คุณภาพดีเข้าพอร์ต เพื่อล็อคผลตอบแทน สร้าง passive income โดยนักออมเงิน หรือ นักลงทุนที่สนใจสามารถลงทุนหุ้นกู้ตลาดรองได้ทั้งแอปพลิเคชันทรูมันนี่ และแอปพลิเคชั่น CIMB THAI

นอกจากนี้ CIMB THAI ยังเตรียมจัดกิจกรรมดีๆ ร่วมกับพันธมิตร ที่จะให้ความรู้กับนักลงทุน พร้อมกับการสร้างความสุข และ สนุกสนาน เพื่อขยายฐานลูกค้าใหม่ และส่งเสริมการสร้างความมั่งคั่งผ่านผลิตภัณฑ์หุ้นกู้คุณภาพดี 

CIMBT จับมือ ทรูมันนี่

ในส่วนของหุ้นกู้ตลาดรองของลูกค้ารายย่อยของธนาคารปี 67 นี้ ตั้งเป้าที่ 20,000 ล้านบาท โดยในช่วง 9 เดือนแรกปีนี้ (ม.ค.-ก.ย.67) ทำไปได้แล้วกว่า 15,000 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าสิ้นปีนี้จะทำได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ แม้ว่าในปีนี้จะเห็นการชะลอการออกหุ้นกู้ของบริษัทในตลาดไปบ้าง

หลักๆ เป็นผลมาจากทิศทางดอกเบี้ยที่อยู่ในช่วงขาลง รวมถึงนักลงทุนกังวลถึงการผิดนัดชำระหุ้นกู้ของบริษัท ส่งผลให้เห็นว่าที่ผ่านมามีนักลงทุนหันไปสนใจลงทุนในตลาดพันธบัตรรัฐบาลมากขึ้น โดยอายุพันธบัตรรัฐบาล 48 ปี ให้ผลตอบแทน 3% ในขณะที่พันธบัตรเอกชนที่ได้เรตติ้ง BBB+ ให้ผลตอบแทน 2-4%

"ปัจจุบันนี้จะเห็นได้ว่าพฤติกรรมลูกค้ามีการเปลี่ยนแปลงไป ในตอนนี้หันไปลงทุนพันธบัตรรัฐบาลมากขึ้น ถึงแม้ผลตอบแทนจะต่ำกว่าเมื่อเทียบกับพันธบัตรเอกชน แต่ก็ให้ความมั่นคงที่มากกว่า"นายภูดินันท์ กล่าว