KBank แนะวิธีจัดพอร์ตลงทุน รับมือดอกเบี้ยขาลง

03 ก.ค. 2567 | 16:31 น.
อัปเดตล่าสุด :03 ก.ค. 2567 | 16:31 น.

Kbank Private Banking แนะกระจายความเสี่ยงพอร์ตลงทุน รับมือดอกเบี้ยขาลง พร้อมโอกาสลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงท่ามกลางความเสี่ยงที่ยังรุมเร้า

นางสาวศิริพร สุวรรณการ Senior Managing Director, Financial Advisory Head, Private Banking Group ธนาคาร กสิกรไทยเปิดเผยว่า ภาพรวมครึ่งแรกปี 2567 ถือว่า เป็นปีที่ดีของการลงทุน ตลาดหุ้นทั่วโลก ให้ผลตอบแทนที่ดีต่อเนื่องจากแรงส่งในปี 2566  โดยดัชนีหุ้นทั่วโลก (MSCI All Country World Index) ปรับเพิ่มขึ้น 11.5% หนุนจากเศรษฐกิจทั่วโลกที่ฟื้นตัวได้ดี

KBank แนะวิธีจัดพอร์ตลงทุน รับมือดอกเบี้ยขาลง

ประกอบกับดอกเบี้ยทั่วโลกได้ทำจุดสูงสุดแล้ว โดยธนาคารกลางทั่วโลกเริ่มปรับลดดอกเบี้ยลง อย่างไรก็ตาม ในช่วงเดือนเมษายน 2567 ตลาดหุ้นเผชิญความผันผวน โดยมีการปรับตัวลง 5% เนื่องจากได้รับแรงกดดันจากความตึงเครียดในตะวันออกกลาง

ขณะที่ภาพรวมตลาดตราสารหนี้ให้ผลตอบแทนติดลบเล็กน้อย จากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ (US Bond Yield) ที่เคลื่อนไหวผันผวน กดดันจากความกังวลว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) จะลดดอกเบี้ยช้ากว่าที่ประเมินไว้

สำหรับกลุยัทธ์การลงทุน Kbank Private Banking แนะนำให้แบ่งเงินลงทุนเพื่อสะสมและต่อยอดความมั่งคั่งในระยะยาว ออกเป็น 2 ส่วน

ส่วนแรกประมาณ 50-70% ให้ลงทุนเป็นพอร์ตหลัก (Core portfolio) โดยเลือกกองทุนผสมแบบ Risk-based approach ที่กระจายการลงทุนในหลายสินทรัพย์ ทั้งหุ้น ตราสารหนี้  สินค้าโภคภัณฑ์ รวมทั้งค่าความผันผวน (VIX Index) ที่ใช้หลักการจัดการลงทุนอย่างเป็นระบบ มีกฎเกณฑ์ชัดเจน ไม่ขึ้นกับการคาดการณ์ของตลาดหรือผู้จัดการกองทุน โดย KBank Private Banking แนะนำให้ลงทุนในกองทุนกองทุน All Roads Series

 

KBank แนะวิธีจัดพอร์ตลงทุน รับมือดอกเบี้ยขาลง

ส่วนที่ 2 ประมาณ 30-50% เป็นพอร์ตเสริม (Satellite portfolio) โดยแบ่งการลงทุนใน

หุ้นกลุ่ม Growth

กองทุนหุ้นสหรัฐฯ ที่มีศักยภาพในการเติบโตที่โดดเด่น แม้ว่าราคาจะปรับเพิ่มขึ้นมามากแล้ว แต่ก็หนุนโดยกำไรสุทธิที่เติบโตอย่างแข็งแกร่ง ราคาหุ้นในปัจจุบันวัดจากปัจจัยพื้นฐาน (Valuation) แล้ว ยังไม่ถือว่าราคาไม่แพง และยังมีโอกาสเติบโตได้อีก โดยแนะนำให้ลงทุนในกองทุน K-USA

กองทุนหุ้นยุโรปขนาดกลางและเล็ก ที่จะได้ประโยชน์โดยตรงจากการลดดอกเบี้ยของ ECB โดยแนะนำให้ลงทุนในกองทุน K-EUSMALL

กองทุนหุ้นเวียดนามที่กำไรบริษัทจดทะเบียนเติบโตโดดเด่นเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค อีกทั้งระดับราคาหุ้นในปัจจุบันวัดจากปัจจัยพื้นฐาน (Valuation) ยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ย                        และในระยะยาวยังได้ประโยชน์จากเม็ดเงินลงทุนของต่างชาติที่ย้ายฐานการผลิตเข้ามาในเวียดนามด้วย โดยแนะนำให้ลงทุนในกองทุน PRINCIPAL-VNEQ

KBank แนะวิธีจัดพอร์ตลงทุน รับมือดอกเบี้ยขาลง

ตราสารหนี้

พันธบัตรรัฐบาลระยะยาว: จากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ (US Bond Yield) ที่ทรงตัวอยู่ในระดับสูงและมีโอกาสปรับลงในระยะข้างหน้า เมื่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของ FED ชัดเจนขึ้น ทำให้ผลตอบแทนในรูปของดอกเบี้ยมีความน่าสนใจ และยังมีโอกาสได้กำไรจากส่วนต่างราคาเมื่อ FED ปรับลดดอกเบี้ย

นอกจากนี้ พันธบัตรรัฐบาลถือเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยและช่วยกระจายความเสี่ยงได้ดี หากเศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะชะลอตัว โดยแนะนำให้ลงทุนในกองทุน  K-GDBOND และแนะนำเสริมพอร์ตการลงทุนด้วยหุ้นกู้ในภูมิภาคเอเชีย ผ่านกองทุน K-APB ที่ให้ผลตอบแทนในรูปของดอกเบี้ยอยู่ในระดับสูง และมีความเสี่ยงค่อนข้างต่ำเนื่องจากเศรษฐกิจในเอเชียยังแข็งแกร่ง

การลงทุนทางเลือก

เติมเต็มพอร์ตด้วยกองทุนทางเลือกที่มีกลยุทธ์ซื้อขายสกุลเงินหลักของโลก: ลงทุนในสกุลเงินหลักที่คาดว่าจะแข็งค่าขึ้น ผ่านการวิเคราะห์จากหลายปัจจัยพื้นฐาน ทั้งแนวโน้มภาพรวมเศรษฐกิจ ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย อัตราเงินเฟ้อ ดุลการชำระเงิน รวมทั้งกระแสเงินไหลเข้า – ออก โดยแนะนำให้ลงทุนในกองทุน DAOL-FXALPHA-UI

ด้านมร. โฮมิน ลี Senior Asia Macro Strategist, Lombard Odier (Singapore)กล่าวว่า Lombard Odier คาดว่า มีโอกาสสูงที่เศรษฐกิจโลกจะชะลอลงแบบ Soft landing และไม่เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Recession) จึงประเมินว่า ตลาดหุ้นมีโอกาสปรับเพิ่มขึ้นต่อได้

KBank แนะวิธีจัดพอร์ตลงทุน รับมือดอกเบี้ยขาลง

สำหรับเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงแข็งแกร่ง หนุนโดยภาคอุตสาหกรรม โดยเฉพาะอุตสาหกรรมการผลิตชิปที่กำลังเป็นความต้องการจากทั่วโลก ด้านตลาดแรงงานเริ่มลดความร้อนแรงลงบ้าง จากตัวเลขตำแหน่งงานว่าง (Job openings) ค่าจ้างที่ปรับเพิ่มขึ้นในอัตราที่ชะลอลง และอัตราการว่างงานที่เริ่มปรับเพิ่มขึ้น โดยคาดว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) มีแนวโน้มที่จะลดดอกเบี้ย 2 ครั้งในปีนี้

อย่างไรก็ตาม ยังมีเหตุการณ์ที่ต้องจับตาในครึ่งหลังของปีนี้คือ การเลือกสหรัฐฯ โดยจากผลสำรวจพบว่า มีโอกาสที่ โดนัลด์ ทรัมป์ จะได้กลับมาเป็นประธานาธิบดีอีกครั้ง ซึ่ง Trump 2.0 จะนำมาสู่การเปลี่ยนแปลงหลายด้านทั้งด้านตลาดแรงงาน เศรษฐกิจ รวมถึงความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ โดยเฉพาะกับจีนที่คาดว่าจะตึงเครียดมากขึ้น

ขณะที่จีนยังคงเผชิญความท้าทาย นอกจากประเด็นภาคอสังหาฯ แล้ว ยังมีความเสี่ยงจากนอกประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปีนี้ที่มีการเลือกตั้งสหรัฐฯ อาจมีการยกระดับสงครามการค้า โดยตั้งแต่ปี 2561 สัดส่วนการนำเข้าจากสินค้าจากจีนมาสหรัฐฯ ปรับลดลงอย่างมีนัยสำคัญ และเม็ดเงินลงทุนจากนักลงทุนต่างชาติก็ปรับลดลงด้วย

เหตุการณ์สำคัญที่ต้องจับตาคือการประชุมของคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีนครั้งที่สาม (China’s Third Plenum) และการประชุมคณะกรรมการบริหารพรรคการเมือง (China’s Politburo) ในเดือนกรกฎาคม โดยคาดว่าทางการจีนจะออกมาตรการหนุนภาคอสังหาฯ เพิ่มเติม ซึ่งเป็นสิ่งที่นักลงทุนต้องจับตาต่อไป