ศูนย์วิจัยกสิกรฯ วิเคราะห์ 27 ปี ลอยตัวเงินบาท กับ 5 โจทย์เศรษฐกิจที่รอแก้

02 ก.ค. 2567 | 10:38 น.
อัปเดตล่าสุด :02 ก.ค. 2567 | 11:11 น.

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ออกบทวิเคราะห์ วันครบรอบ 27 ปี 2 ก.ค. 2540 “การลอยตัวค่าเงินบาท” จนทำให้เกิด “วิกฤตต้มยำกุ้ง” เทียบสภาพเศรษฐกิจปัจจุบัน ต่างจาก 2540 มาก ชี้ ยังมีโจทย์เศรษฐกิจ 5 เรื่อง ที่รอแก้ไข

วันที่ 2 กรกฎาคม 2567 ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ออกบทความเนื่องใน “วันครบรอบ 27 ปี” ของ การประกาศลอยตัวค่าเงินบาทเมื่อวันที่ 2 ก.ค. 2540 โดยเนื้อหาโดยสรุประบุว่า 

บทความนี้จะย้อนกลับไปทบทวนจุดอ่อนของโครงสร้างเศรษฐกิจการเงินไทยในเวลานั้น และเปรียบเทียบกับบริบทปัจจุบัน เพื่อให้เรารู้เท่าทัน ป้องกันไม่ให้เกิดการเดินซ้ำรอยอดีต และสนับสนุนเส้นทางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยในอนาคต

สภาพแวดล้อมเศรษฐกิจและการเงินไทยในปี 2567

เศรษฐกิจไทยในปี 2567 แตกต่างจากช่วงปี 2540 อย่างมาก โดยในปี 2540 ปัญหาเกิดจากการลงทุนและการใช้จ่ายเกินตัว และมีการผูกค่าเงินกับดอลลาร์ฯ ภายใต้ระบบตะกร้าเงิน ขณะที่ในปัจจุบัน ความท้าทายมีความซับซ้อนและเป็นโจทย์ระยะกลาง-ยาวมากขึ้น

การลอยตัวค่าเงินบาทในปี 2540

การปรับเปลี่ยนระบบอัตราแลกเปลี่ยนจากระบบตะกร้าเงินมาใช้ระบบอัตราแลกเปลี่ยนลอยตัวแบบมีการจัดการในวันที่ 2 กรกฎาคม 2540 ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของนโยบายอัตราแลกเปลี่ยนของไทย ทำให้เงินบาทสามารถเคลื่อนไหวตามปัจจัยพื้นฐานของเศรษฐกิจไทยมากขึ้น

ซึ่งแตกต่างจากนโยบายเดิมที่ทำให้ค่าเงินขาดความยืดหยุ่นและไม่สอดคล้องกับพื้นฐานเศรษฐกิจ จนเกิดการโจมตีค่าเงินในช่วงนั้น

สถานการณ์ในปี 2567

ในปี 2567 แม้ว่าจะยังคงเห็นการไหลออกของเงินลงทุนในตลาดหุ้นและตลาดพันธบัตรไทย แต่ค่าความผันผวนของเงินบาทลดลงจาก 9.0% ในปี 2566 มาอยู่ที่ 6.8% ในช่วงครึ่งแรกของปี 2567 โดยธนาคารแห่งประเทศไทยมีบทบาทในการดูแลความเคลื่อนไหวและลดความผันผวนของค่าเงินบาท

สถานะเศรษฐกิจไทยในปัจจุบัน

เศรษฐกิจไทยกำลังทยอยฟื้นตัวจากผลกระทบช่วงโควิด-19 โดยระดับทุนสำรองระหว่างประเทศในปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 2.53 แสนล้านดอลลาร์ฯ ซึ่งมีความเข้มแข็งมากกว่าในปี 2540 ที่ระดับเงินสำรองระหว่างประเทศลดลงเหลือเพียง 28 พันล้านดอลลาร์ฯ

นอกจากนี้ การดูแลการเก็งกำไรในตลาดอสังหาริมทรัพย์และการลดสัดส่วนหนี้ต่างประเทศมาอยู่ที่ 38.6% ต่อจีดีพี ณ สิ้นปี 2566 แสดงให้เห็นถึงการเรียนรู้บทเรียนจากวิกฤตที่ผ่านมา

ความท้าทายที่ยังคงอยู่

แม้เศรษฐกิจไทยในปัจจุบันจะดีกว่าช่วงวิกฤตปี 2540 แต่ยังมีโจทย์ท้าทายที่ต้องแก้ไข เช่น ปัญหาหนี้ในระดับสูงทั้งภาครัฐและครัวเรือน ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ สงครามการค้า ความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจขนาดกลางและเล็ก การเตรียมตัวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งเป็นโจทย์ระยะกลาง-ยาว ที่ทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกันเพื่อสร้างสมดุลใหม่ให้กับเศรษฐกิจไทยในอนาคต

ในตอนท้ายศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า ทั้งนี้ จะเห็นว่าโจทย์ความไม่สมดุลในช่วงวิกฤตต้มยำกุ้งในอดีตทยอยได้รับการแก้ไขหลังการลอยตัวค่าเงินบาทการกู้เงินกับ IMF และมาตรการฟื้นฟูเศรษฐกิจ ขณะที่ประเด็นท้าทายรอบนี้มีความซับซ้อนและแตกต่างจากปี 2540 เพราะโจทย์ส่วนใหญ่เป็นโจทย์ระยะกลาง-ยาว ซึ่งอาจนำไปสู่การสะสมปัญหาความไม่สมดุลของเศรษฐกิจในอีกรูปแบบหนึ่ง

ศูนย์วิจัยกสิกรฯ วิเคราะห์ 27 ปี ลอยตัวเงินบาท กับ 5 โจทย์เศรษฐกิจที่รอแก้

สรุปบทความศูนย์วิจัยกสิกรไทย

สภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจและการเงินของไทยในปัจจุบันแตกต่างจากช่วงวิกฤตปี 2540:

  • ปี 2540: ปัญหาเกิดจากการลงทุนและการใช้จ่ายเกินตัว รวมถึงการผูกค่าเงินกับดอลลาร์สหรัฐฯ
  • ปัจจุบัน: เศรษฐกิจกำลังฟื้นตัวจากผลกระทบของโควิด-19 และมีความท้าทายที่ซับซ้อนกว่า

สถานการณ์ปัจจุบันดีขึ้นกว่าช่วงวิกฤตปี 2540:

  • ทุนสำรองระหว่างประเทศแข็งแกร่งขึ้นมาก (2.53 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ณ มิถุนายน 2567)
  • สัดส่วนหนี้ต่างประเทศลดลง (38.6% ต่อ GDP ณ สิ้นปี 2566)
  • มีมาตรการดูแลการเก็งกำไรในตลาดอสังหาริมทรัพย์

ความท้าทายในปัจจุบัน:

  • ความไม่แน่นอนของแนวโน้มดอกเบี้ยสหรัฐฯ
  • ความเสี่ยงเศรษฐกิจโลก
  • ทิศทางเงินทุนเคลื่อนย้ายในตลาดการเงิน
  • แนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย

โจทย์ท้าทายระยะกลาง-ยาวของไทย:

  • หนี้สูงทั้งภาครัฐและครัวเรือน
  • ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์และสงครามการค้า
  • ความสามารถในการแข่งขันของ SMEs
  • การเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ
  • การรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

ดังนั้นทุกภาคส่วนควรร่วมกันช่วยเสริมสร้างสมดุลใหม่ให้กับเศรษฐกิจไทยเพื่อบรรเทาผลกระทบจากข้อจำกัดเชิงโครงสร้างต่อระดับศักยภาพทางเศรษฐกิจของไทยในอนาคต

 

ที่มาข้อมูล : ศูนย์วิจัยกสิกรไทย