LGT แนะกลยุทธ์การลงทุนแบบผสม ชี้เป้าตลาดหุ้นภูมิภาค สหรัฐฯ ญี่ปุ่น

22 มิ.ย. 2567 | 12:00 น.

LGT มองตลาดหุ้นไทยซึมตัว หวังรัฐเร่งมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ-ท่องเที่ยว ชูตลาดสหรัฐฯ ดาวเด่นการเติบโตเหนือความคาดหมาย น่าสนใจมากที่สุดสำหรับในช่วงครึ่งปีหลังนี้ พร้อมมองบวกต่อตลาดหุ้นอินเดียในระยะยาว แนะลงทุนแบบผสมเน้นตลาดหุ้นในภูมิภาคอเมริกาเหนือและญี่ปุ่น

นายสเตฟาน โฮเฟอร์ หัวหน้านักยุทธศาสตร์การลงทุนของแอลจีที (LGT) ไพรเวทแบงก์กิ้ง ภูมิภาคเอเชีย เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดหุ้นไทยยังคงซึมตัวลงกว่าเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค หลักๆ เป็นผลมาจากสภาวะเศรษฐกิจประเทศไทยที่ชะลอตัวลง รวมไปถึงปัญหาความกังวลที่มีต่อการเมืองไทย ทั้งนี้ มองว่าจากการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง จะส่งผลทำให้เศรษฐกิจไทยเริ่มกลับมาดีขึ้นในช่วงที่เหลือของปีนี้และต่อเนื่องไปปีหน้าด้วย

ตัวเลขนักท่องเที่ยวในช่วง 5-6 เดือนแรกกลับมาอยู่ที่ระดับกว่า 87% ของช่วงก่อนเกิดโรคระบาดแล้ว มองว่าจนสิ้นปีนี้ตัวเลขนักท่องเที่ยวจะขยายตัวได้เป็นกว่า 35 ล้านคนได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ ตลอดจนมาตรการกระตุ้นการเงินแก่ภาคครัวเรือน โดยเฉพาะในด้านการท่องเที่ยว ซึ่งเป็นเรื่องที่ทางการไทยกำลังให้ความสำคัญกับการดึงดูดนักท่องเที่ยวที่มีการใช้จ่ายสูง โดยส่งเสริมสถานที่ท่องเที่ยวและกิจกรรมที่มีความน่าน่าสนใจในระดับโลก

 

สเตฟาน โฮเฟอร์ หัวหน้านักยุทธศาสตร์การลงทุนของแอลจีที (LGT) ไพรเวทแบงก์กิ้ง ภูมิภาคเอเชีย

 

ส่วนตลาดสหรัฐอเมริกานั้น ในครึ่งปีแรกเศรษฐกิจและตลาดหุ้นสหรัฐฯ เติบโตในระดับที่เหนือความคาดหมาย การอุปโภคบริโภคของภาคครัวเรือนยังคงอยู่ในเกณฑ์ที่ดี ได้รับแรงหนุนจากอัตราการว่างงานที่ต่ำเพียง 4% อัตราเงินเฟ้อยังคงลดลงอย่างต่อเนื่องแม้ว่าจะลดลงในอัตราที่ช้ากว่าที่คาดการณ์ไว้ในเดือนมกราคม 2567 ก็ตาม โดยรวมคาดว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ จะเริ่มปรับลดดอกเบี้ยในเดือนกันยายน 2567 เป็นต้นไป แต่อาจจะมีแนวโน้มว่าจะปรับลดเพียงครั้งเดียวสำหรับปี 2567

เนื่องจากเริ่มเข้าใกล้ถึงการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ผลประกอบการของบริษัทในสหรัฐฯ มีการเติบโตที่แข็งแกร่ง ดังนั้น ตลาดหุ้นสหรัฐฯ จึงยังคงเป็นตลาดที่น่าสนใจมากที่สุดสำหรับในช่วงครึ่งปีหลังนี้ ถึงแม้ว่าระดับหนี้สาธารณะของสหรัฐฯ จะเพิ่มสูงขึ้น ทาง LGT มองว่าไม่ได้ทำให้สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐเสี่ยงต่อการสูญเสียสถานะสกุลเงินสำรองหลักของโลก

สำหรับตลาดญี่ปุ่น นับตั้งแต่ช่วงต้นปี 2567 เป็นต้นมา สินทรัพย์เสี่ยงของญี่ปุ่นมีผลการดำเนินงานที่ดีในแง่ของเงินเยน ทั้งนี้ ค่าเงินเยนได้เคลื่อนไหวในทิศทางที่แตกต่างจากที่คาดการณ์ไว้ โดยอ่อนค่าลงในช่วงเดือนที่ผ่านมา ในระหว่างนั้น อัตราแลกเปลี่ยนดอลลาร์สหรัฐต่อเยนได้พุ่งสูงถึง 160 เยน ก่อนที่ธนาคารกลางญี่ปุ่นและกระทรวงการคลังจะเข้าแทรกแซง ทำให้อัตราลดลงมาอยู่ที่ 155 เยนต่อดอลลาร์ หากธนาคารกลางสหรัฐฯ มีการปรับลดดอกเบี้ยในเดือนกันยายน 2567 นี้ และดำเนินการต่อเนื่องในปี 2568

มองว่าก็จะเข้ามาช่วยให้ส่วนต่างระหว่างสกุลเงินดอลลาร์และเยนปรับตัวจะลดลง ซึ่งจะส่งผลให้เงินเยนมีโอกาสแข็งค่าเพิ่มขึ้น โดยรวมคาดว่าธนาคารกลางญี่ปุ่นจะปรับนโยบายทางการเงินใหม่ด้วยการขึ้นอัตราดอกเบี้ย แต่อย่างไรก็ดี เชื่อว่าโอกาสที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างรุนแรงนั้นคงเป็นไปได้ยาก เพราะนั้นอาจไปกระทบต่อเศรษฐกิจในด้านอื่นๆ ตามมา

ขณะที่ตลาดอินเดีย ทาง LGT ยังคงมีมุมมองเชิงบวกต่อตลาดหุ้นอินเดียในระยะยาว แต่ต้องยอมรับว่าความเสี่ยงในการปฏิบัติตามนโยบายสำคัญของรัฐบาลนั้นเพิ่มสูงขึ้นหลังจากผลการเลือกตั้งล่าสุด เมื่อคำนึงถึงการสร้างแนวร่วมรัฐบาลที่กว้างขึ้น อาจเห็นนโยบายการคลังของอินเดียถูกผ่อนคลายลงภายใต้การปกครองสมัยที่ 3 ของนายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี นอกจากนี้ ความสำคัญของการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศอาจลดลง เช่นเดียวกับการปฏิรูปที่ดิน

ทั้งนี้ หากนักลงทุนมองเห็นหลักฐานที่ชัดเจนที่แสดงถึงความมุ่งมั่นในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของอินเดียในเดือนข้างหน้านี้ ทาง LGT คาดว่าตลาดหุ้นอินเดียจะสามารถทำผลงานได้ดีกว่าในระยะกลาง โดยหากว่าได้เข้าไปสัมผัสประเทศอินเดียโดยเฉพาะที่มุมไบ จะพบว่าโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ในอินเดียมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากเมื่อเทียบกับเมื่อหลายปีก่อน เชื่อว่าตัวเลข GDP อินเดียในปี 2567 จะยังคงเติบโตได้ดีอย่างต่อเนื่อง

ด้านตลาดจีน มองว่าแนวโน้มของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในจีนได้ปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อย หลังจากได้มีการประกาศซื้ออสังหาริมทรัพย์ส่วนเกินและที่ดินเปล่าจากภาครัฐ ข้อมูลล่าสุดชี้ว่าราคาบ้านใหม่ทั่วประเทศจีนยังคงลดลง ฉะนั้นการที่ภาครัฐเข้ามาจัดการอุปทานส่วนเกินอาจส่งผลดีและช่วยรักษาเสถียรภาพของตลาด อีกทั้งยังเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคได้อีกด้วย ในอีกมุม การเลือกตั้งในสหรัฐฯ ที่กำลังจะเกิดขึ้นอาจเป็นปัจจัยที่ก่อให้เกิดความไม่สงบทางการเมือง

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนซึ่งมีความเป็นไปได้ที่จะมีการออกมาตรการทางภาษีและมาตรการอื่น ๆ ที่ไม่ใช่ภาษีเพิ่มเติม ด้วยเหตุนี้ทาง LGT จึงเลือกที่จะเพิ่มความระมัดระวังต่อการลงทุนในจีนและเลือกที่จะติดตามสถานการณ์และรอจังหวะที่เหมาะสมเมื่อสถานการณ์มีความชัดเจนและคลี่คลายลง

ส่วนของตลาดยุโรปนั้น มองว่ายุโรปเริ่มส่งสัญญาณฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่ดี หรือที่เรียกว่า “green shoots”  หนึ่งในสัญญาณที่บ่งชี้ถึงการฟื้นตัวนี้คือการกู้ยืมของภาคครัวเรือนที่กลับมาเป็นบวกทั่วยูโรโซนหลังจากช่วงเวลาหนึ่งที่สินเชื่อหดตัวลงเนื่องจากต้นทุนการกู้ยืม (อัตราดอกเบี้ย) ที่สูงขึ้น อัตราเงินเฟ้อในยูโรโซนกำลังลดลงเร็วกว่าในสหรัฐอเมริกา ส่งผลให้ธนาคารกลางยุโรปสามารถปรับลดอัตราดอกเบี้ยได้เร็วกว่าธนาคารกลางสหรัฐ

อย่างไรก็ตาม ต้นทุนสำหรับอุตสาหกรรมด้านก๊าซธรรมชาติได้เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด ทำให้มีการสูญเสียงานในบางภาคส่วน โดยรวมแล้ว LGT มีมุมมองที่เป็นกลางสำหรับยุโรป แต่อาจมีการปรับสถานะเป็นการเพิ่มน้ำหนัก หากผลประกอบการของบริษัทในยุโรปมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องในครึ่งปีหลังของ 2567

"สำหรับกลยุทธ์การลงทุนนั้น ทาง LGT แนะนำแบบผสม เราจัดสรรการลงทุนให้พอร์ตการลงทุนของเราโดยการลงทุนเต็มอัตรา เราให้น้ำหนักการลงทุนในหุ้นที่สูง คิดเป็น 42% เทียบกับสัดส่วนที่กำหนดไว้ที่ 35% โดยมุ่งเน้นไปที่ตลาดหุ้นในภูมิภาคอเมริกาเหนือและญี่ปุ่นเป็นหลัก ซึ่งเราจัดสรรการลงทุนในตราสารหนี้ใกล้เคียงกับสัดส่วนที่กำหนดไว้ คิดเป็น 42% และเน้นไปที่พันธบัตรคุณภาพสูง นอกจากนี้ เรายังมีการลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือกที่ 15% ควบคู่ไปกับเงินสด 1% เพื่อเสริมพอร์ตการลงทุนแบบผสม"