PCE โชว์ศักยภาพผู้ประกอบธุรกิจน้ำมันปาล์มครบวงจร จ่อระดมทุนครึ่งหลังปี67

29 เม.ย. 2567 | 05:30 น.
666

PCE แต่งตัวเตรียมเข้าระดมทุน SET ภายในช่วงครึ่งหลังปี 67 นี้ โชว์ศักยภาพการเป็นโฮลดิ้งคอมพานีในธุรกิจอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มแบบครบวงจร ตั้งแต่ต้นน้ำไปจนถึงปลายน้ำ ตั้งเป้าปริมาณการจำหน่ายปี 67 โต 5-10% จากปีก่อน สู่ระดับ 7.35-7.7 แสนตัน/ปี

นายประกิต ประสิทธิ์ศุภผล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เพชรศรีวิชัย เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด (มหาชน) หรือ PCE ที่ประกอบธุรกิจถือหุ้นในบริษัทอื่น (Holing Company) โดยลงทุนในกลุ่มธุรกิจอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มครบวงจร เปิดเผยว่า ล่าสุด สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ได้อนุมัติแบบคำขอในการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนครั้งแรกต่อประชาชน (IPO) ของบริษัทแล้ว

โดยบริษัทเตรียมเสนอขายหุ้น จำนวน 750 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ 1 บาทต่อหุ้น ภายหลังจากการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แล้ว บริษัทจะมีทุนจดทะเบียนชำระแล้ว 2,750 ล้านบาท และจะนำหุ้นสามัญทั้งหมดเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ในหมวดธุรกิจ เกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร (กลุ่มอุตสาหกรรม : ธุรกิจการเกษตร-AGRI) อย่างไรก็ดี ในเบื้องต้นบริษัทคาดหวังว่าจะสามารถเข้าระดมทุนใน SET ได้ภายในช่วงครึ่งหลังปี 2567 นี้เป็นต้นไป

วัตถุประสงค์ในการระดมทุนนั้น บริษัทจะมุ่งเน้นลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการผลิตน้ำมันไบโอดีเซล (B100) เช่น โรงสกัดน้ำมันปาล์ม การลงทุนในเครื่องจักรและอุปกรณ์ เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต และควบคุมต้นทุน อีกทั้งเพื่อต่อยอดหรือสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ผลิตภัณฑ์ของบริษัท ส่วนที่เหลือใช้เป็นทุนหมุนเวียนในกิจการของบริษัท นิว ไบโอดีเซล จำกัด และบริษัท ปาโก้เทรดดิ้ง จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ประกอบธุรกิจหลักของกลุ่ม PCE

ปัจจุบันมีความต้องการใช้น้ำมันปาล์มดิบและไบโอดีเซล ในหลากหลายอุตสาหกรรมทั้งในประเทศและต่างประเทศ ทำให้บริษัทคาดการณ์ว่าอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มยังคงมีโอกาสเติบโตในทิศทางที่ดี โดยประเทศไทยยังมีพื้นที่สำหรับเพาะปลูกเพื่อการเกษตรอีกจำนวนมาก ซึ่งปาล์มน้ำมันเป็นพืชเกษตรสำหรับบริโภคและพลังงานที่มีต้นทุนถูกกว่าพืชชนิดอื่น จึงถือเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศและยังมีความต้องการใช้ในตลาดโลกเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ประกอบกับการบริหารจัดการและประสบการณ์ มากกว่า 40 ปี ในฐานะผู้นำธุรกิจน้ำมันปาล์มพร้อมระบบซัพพลายเชนครบวงจร ของ PCE ที่ประกอบธุรกิจตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ โดยมีธุรกิจโรงสกัดและโรงกลั่นน้ำมันปาล์ม รวมไปถึงธุรกิจซื้อมาและจำหน่ายน้ำมันปาล์มและผลผลิตพลอยได้อื่นๆ พร้อมทั้งให้บริการด้านคลังสินค้าและท่าเทียบเรือ รวมทั้งยังมีธุรกิจให้บริการขนส่งทางเรือและทางบก ทำให้เป็นปัจจัยที่สนับสนุนให้บริษัทมีความสามารถในการรองรับเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต

สำหรับทิศทางการดำเนินงานในปี 2567 คาดว่าบริษัทจะมีปริมาณการผลิตเพิ่มขึ้นแบบอนุรักษ์นิยมที่ไม่น้อยกว่าประมาณ 5-10% จากปี 2566 ที่มีปริมาณการผลิตกว่า 700,000 ตันต่อปี หรือจะเพิ่มขึ้นเป็นกว่า 735,000-770,000 ตันต่อปีในปีนี้ หลักๆ เป็นผลมาจากอุปสงค์ของในการใช้น้ำมันปาล์มทั้งในและต่างประเทศที่มีอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ผลผลิตปาล์มยังมีไม่เพียงพอกับความต้องการของความต้องการใช้ของทั่วโลก

"เราความมุ่งมั่นที่จะยกระดับองค์กรให้มีมาตรฐานยิ่งขึ้น เพื่อรองรับการขยายโอกาสทางธุรกิจในอนาคต  การเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ จะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้บริษัทมีความแข็งแกร่ง ทั้งด้านฐานะการเงิน เป็นที่ยอมรับในระดับสากล พร้อมทั้งเพิ่มขีดความสามารถในการดำเนินธุรกิจ เพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต และยกระดับการบริหารจัดการองค์กรให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ภายใต้หลักธรรมาภิบาลและความรับผิดชอบต่อสังคม"

ทั้งนี้ PCE ประกอบธุรกิจโดยการถือหุ้นในบริษัทอื่น (Holding Company) โดยขณะนี้มีการลงทุนในกลุ่มธุรกิจอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มแบบครบวงจร ที่มีความพร้อมการจัดการระบบซัพพลายเชน (Supply Chain) ซึ่งดำเนินการผลิตผลิตภัณฑ์จากปาล์มน้ำมันตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ประกอบด้วย

  1. บริษัท นิว ไบโอดีเซล จำกัด (NBD) ประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่าย น้ำมันไบโอดีเซล น้ำมันปาล์มดิบ น้ำมันปาล์มกึ่งบริสุทธิ์ และน้ำมันพืชสำหรับการบริโภค ภายใต้ตราสินค้า “รินทิพย์” โดยมีถังเก็บน้ำมันปาล์มและน้ำมัน B100 ทั้งหมด 80 แทงค์สามารถจัดเก็บได้ปริมาณ 100,000 ตัน 
  2. บริษัท ปาโก้เทรดดิ้ง จำกัด (PACO) ประกอบธุรกิจซื้อขายน้ำมันปาล์มดิบ น้ำมันเมล็ดในปาล์ม เมล็ดในปาล์ม และผลิตภัณฑ์อื่นๆ จากปาล์ม โดยจัดจำหน่ายให้กับลูกค้าทั้งในและต่างประเทศ
  3. บริษัท พี.เค. มารีน เทรดดิ้ง จำกัด (PKM) ประกอบธุรกิจให้บริการคลังสินค้าและท่าเทียบเรือมาตรฐาน ขนาดเกินกว่า 500 ตันกรอส มีพื้นที่ให้บริการกว่า 50,000 ตร.ม. และมีคลังน้ำมัน ทั้ง 2 แห่ง จำนวน 58 แทงค์ที่สามารถรองรับปริมาณการจัดเก็บได้ถึง 240,000 ตัน โดยแบ่งออกเป็นท่าเทียบเรือในจังหวัดสุราษฎร์ธานี จำนวน 47 แทงค์ หรือกว่า 200,000 ตัน และอำเภอบางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทรา จำนวน 11 แทงค์ หรือประมาณ 40,000 ตัน
  4. บริษัท เพชรศรีวิชัย จำกัด (PC) ประกอบธุรกิจให้บริการขนส่งสินค้าทางบกภายในประเทศ ซึ่งมีรถให้บริการมากกว่า 150 คัน เพื่อขนส่งน้ำมันปาล์ม รวมถึงสินค้าแห้งและอื่นๆ
  5. บริษัท พี.ซี. มารีน (1992) จำกัด (PCM) ประกอบธุรกิจให้บริการขนส่งสินค้าทางเรือ ทั้งในและต่างประเทศ โดยปัจจุบันมีเรือทั้งสิ้นจำนวน 13 ลำ ขนาด 1,800-3,100 ตัน ซึ่งขนส่งสินค้าได้ทั้งของแห้งและของเหลว ได้กว่า 1,000,000 ตัน

ผลประกอบการของกลุ่ม PCE ในช่วงปี 2563-2565 บริษัทมีรายได้รวมอยู่ที่ระดับ 19,963.20 ล้านบาท, 28,041.14 ล้านบาท และ 32,638.28 ล้านบาท ตามลำดับ ในส่วนกำไรสุทธิของบริษัทใหญ่อยู่ที่ระดับ 1,153.48 ล้านบาท, 739.52 ล้านบาท และ 180.61 ล้านบาท ตามลำดับ ขณะที่งวด 6 เดือนแรกของปี 2566 บริษัทมีรายได้รวมอยู่ที่ระดับ 13,738.45 ล้านบาท และกำไรสุทธิของบริษัทใหญ่อยู่ที่ระดับ 198.42 ล้านบาท โดยรายได้และกำไรที่ปรับตัวลดลงในปี 2565 เป็นผลมาจากความผันผวนของราคาปาล์มน้ำมัน อ้างอิงตลาด CPO ที่เพิ่มสูงในช่วงต้นปีและลดลงอย่างรวดเร็ว จากระดับกว่า 60 บาท มาสู่ระดับราว 30 บาทตอนต้น

นายสมศักดิ์ ศิริชัยนฤมิตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซท โปร แมเนจเม้นท์ จำกัด (APM) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน บริษัท เพชรศรีวิชัย เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า PCE ถือว่าเป็นผู้นำในธุรกิจน้ำมันปาล์มครบวงจรรายใหญ่ในประเทศไทย ด้วยประสบการณ์การดำเนินธุรกิจมากกว่า 40 ปี กลุ่มบริษัทดำเนินธุรกิจครอบคลุมการผลิตและการให้บริการ ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ที่มีคุณภาพและมาตรฐาน

พร้อมด้วยระบบการขนส่งทั้งทางบกและทางเรือที่มีประสิทธิภาพ รวมถึงการบริการคลังสินค้าและท่าเทียบเรืออย่างเป็นระบบ ทำให้ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง ซึ่งถือเป็นจุดแข็งและมีส่วนสำคัญที่จะสร้างโอกาสและการเติบโตอย่างต่อเนื่อง การระดมทุนและเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ SET ถือเป็นการสร้างความเชื่อมั่นและความน่าเชื่อถือให้กับ PCE ในการต่อยอดธุรกิจพร้อมขยายโอกาสทางธุรกิจให้เติบโตต่อเนื่องและยั่งยืน นอกจากนี้ยังมีส่วนสำคัญในการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและรองรับการขยายตัวของอุตสาหกรรมปาล์มครบวงจรในอนาคต