NER ส่งซิกยอดขายยางไตรมาสแรกพุ่ง 1.1 แสนตัน

17 เม.ย. 2567 | 09:30 น.

NER แววผลงานไตรมาส 1/67 เด่น ดีมานด์ยางพาราขยายตัวต่อเนื่อง พร้อมรับอานิสงส์ราคายางพุ่งสูง คาดทั้งปี 67 ราคายางยืนเหนือระดับ 75-80 บาท/กิโลกรัมได้ ทุ่มงบ 1.4 พันล้าน ขยายโรงงานแห่ง 3 อัพกำลังผลิตเป็น 8.1 แสนตัน/ปี

นายชูวิทย์ จึงธนสมบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท นอร์ทอีส รับเบอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ NER เปิดเผยว่า บริษัทประเมินปริมาณการจำหน่ายยางพาราในช่วงไตรมาส 1/2567 จะทำได้ไม่น้อยกว่า 1.1 แสนตันต่อไตรมาส ตามเป้าหมายที่วางไว้ และด้วยราคายางที่ปรับตัวเพิ่มสูงในช่วงต้นปีนี้มองว่าจะเป็นอานิสงส์ต่อผลการดำเนินงานในไตรมาสแรกปี 2567 ให้เติบโตกว่าทั้งเมื่อเทียบช่วงเดียวกันกับปีก่อน และจากไตรมาสก่อนหน้า

ทั้งนี้ บริษัทคาดการณ์ราคายางพาราเฉลี่ยทั้งปี 2567 ไว้ที่ระดับ 75-80 บาท/กิโลกรัม จากในช่วงไตรมาสแรกที่ราคายางพาราโดยเฉพาะยางแผ่นรวมควันปรับตัวขึ้นมายืนเหนือระดับ 90-95 บาท/กิโลกรัมม แต่ปัจจุบันได้ปรับลดลงมาเหลือราว 83-89 บาท/กิโลกรัมแล้ว ขณะที่ราคายางแผ่นดิบอยู่ที่ประมาณ 80 บาท/กิโลกรัม อย่างไรก็ตาม บริษัทคาดว่าราคายางจะยังคงทรงตัวอยู่ในระดับที่สูงได้ต่อไป เนื่องจากความต้องการใช้งานยางพารายังคงมีอยู่อีกมากจากทั้งในประเทศและต่างประเทศ

 

NER ดีมานด์แผ่นยางรมควันพุ่ง ดันราคายางพารายืนเหนือ 90 บาท

NER ปันผล 2567 บอร์ดไฟเขียวเคาะ 0.29 บาท สรุปรายละเอียดจ่ายให้ผู้ถือหุ้น

ซึ่งได้รับอานิสงส์เชิงบวกจากการเติบโตของกลุ่มยานยนต์ไฟฟ้า และการขยายตัวของภาคการท่องเที่ยว ทำให้หลายสายการบินมีแผนเพิ่มเสินทางบิน เพิ่มเครื่องบินและซ่อมบำรุงเครื่องบินเดิม ส่งผลให้มีความต้องการใช้งานแผ่นยางรมควันคุณภาพสูงมาใช้ผลิตล้อยางเครื่องบินจำนวนมาก แผนการดำเนินงานในปี 2567 บริษัทวางเป้าหมายปริมาณการจำหน่ายทั้งปีไว้เฉลี่ยที่มากกว่า 5.1 แสนตัน หรือเพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่า 5-10% จากเมื่อเทียบกับปี 2566 ที่มีปริมาณการจำหน่ายรวมทั้งสิ้น 497,053 ตัน

ส่วนแผนบริษัทการลงทุนในปี 2567 เตรียมงบลงทุนราว 1,400 ล้านบาท รองรับการลงทุนก่อสร้างโรงงานยางแท่งและยางผสมแห่งที่ 3 ที่มีกำลังการผลิต 302,400 ตัน ซึ่งจะแบ่งเป็น 2 เฟส โดยเฟสแรกจะมีกำลังการผลิต 172,800 ตัน คาดว่าโรงงานจะสร้างเสร็จปลายปี 2567 และเริ่มรับรู้รายได้ในปี 2568 และภายหลังจากการขยายกำลังการผลิตดังกล่าว บริษัทจะมีกำลังการผลิตสินค้ารวมทั้งสิ้น 818,000 ตันต่อปี จากกำลังการผลิตในปัจจุบันที่ 515,600 ตัน เพื่อให้สอดรับกับการเติบโตของอุตสาหกรรมทั้งในและต่างประเทศ

*กำไรปกติไตรมาสแรกปีนี้โต51%


บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์ว่า ทางฝ่ายคงคำแนะนำ “ซื้อ” และราคาเป้าหมาย 6.80 บาท โดยประเมินกำไรปกติในไตรมาส 1/2567 อยู่ที่ 459 ล้านบาท เติบโต 51% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันกับปีก่อน และเพิ่มขึ้น 7% จากไตรมาสก่อน ใกล้เคียงกับกรอบที่ทางฝ่ายประเมินเบื้องต้น ผลการดำเนินงานที่ขยายตัวดีเป็นไปตามรายได้โต 6% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันกับปีก่อน และทรงตัว -0.1% จากไตรมาสก่อน

และ GPM แตะระดับสูงในรอบ 3 ไตรมาสที่ 12% หลักๆ หนุนโดยราคาขายปรับตัวสูงขึ้น 15% จากปีก่อน และโต 9% จากไตรมาสก่อน ตามทิศทางราคายางในตลาด แต่ถูก offset บางส่วนจากปริมาณขายอ่อนตัวราว 8% ทั้งเมื่อเทียบช่วงเดียวกันกับปีก่อน และจากไตรมาสก่อนหน้า จากปัจจัยฤดูกาล รวมถึงลูกค้าจีนบางส่วนมีการ wait & see หลังราคายางปรับตัวสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ทางฝ่ายคงกำไรปกติปี 2567 ไว้ที่ 1.8 พันล้านบาท เติบโต 12% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันกับปีก่อน

สำหรับในไตรมาส 2/2567 เบื้องต้นประเมินกำไรปกติจะโตดีต่อเนื่องจากไตรมาสก่อน หนุนโดยราคายางปรับตัวสูงขึ้น โดยเฉพาะในไตรมาส 1/2567 ซึ่งยอดขายในไตรมาสดังกล่าวส่วนใหญ่จะสะท้อนจากราคาขายในช่วงไตรมาส 4/2566 และไตรมาส 1/2567

อย่างไรก็ตาม ราคาหุ้น outperform SET +18% ใน 3 เดือน แต่กลับมา in line กับ SET ใน 1 เดือน หลังราคายางเริ่มชะลอตัว -9% ในช่วง 3 สัปดาห์ที่ผ่านมา อย่างไรก็ดดี ราคายางปัจจุบันยังทรงตัวสูงถึง 73% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันกับปีก่อน ซึ่งจะเป็นปัจจัยหนุนต่อผลการดำเนินงานมากขึ้นในช่วงครึ่งหลังปี 2567 หากบริษัทสามารถจัดหาวัตถุดิบได้ตามแผน นอกเหนือจากนี้ยังมีปัจจัยหนุนจากเงินปันผลครึ่งหลังปี 2566 ซึ่งคิดเป็น dividend yield สูงที่ 5% กำหนดขึ้น XD วันที่ 22 เมษายน 2567