SAWAD ไม่หวั่นหนี้เสีย วางเป้าขยายพอร์ตสินเชื่อ 20% เปิดสาขาเพิ่ม 1 สาขา/วัน

21 มี.ค. 2567 | 12:28 น.
อัปเดตล่าสุด :21 มี.ค. 2567 | 13:01 น.

SAWAD วางเป้าหมายการเติบโตของพอร์ตสินเชื่อและยอดการปล่อยสินเชื่อใหม่ปี 67 เติบโตไม่ต่ำกว่า 20% จากปีก่อน คุมเข้ม NPL ไม่เกินเกณฑ์ 3-4% เดินหน้าคลอดสาขาใหม่วันละ 1 สาขา ทั่วประเทศ สยายปีกลุยปล่อยสินเชื่อเวียดนาม

นางสาวธิดา แก้วบุตตา ผู้อำนวยการกลยุทธ์องค์กร บริษัท ศรีสวัสดิ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด(มหาชน) หรือ SAWAD เปิดเผยว่า แผนการดำเนินงานในปี 2567 บริษัทวางเป้าหมายการเติบโตของพอร์ตสินเชื่อคงค้าง และยอดการปล่อยสินเชื่อใหม่ไว้ที่ไม่น้อยกว่า 20% จากปีก่อน โดยมองว่าในปีนี้ภาพรวมเศรษฐกิจและกำลังซื้อมีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องจากปีก่อน หลักๆ เป็นผลมาจากการท่องเที่ยวจากต่างชาติที่กลับมาขยายตัวเพิ่มขึ้น

ปัจจุบันจะเห้นได้ว่ากิจกรรมทางเศรษฐกิจและ และกิจกรรมทางธุรกิจกลับมามีความคึกคักมากขึ้น ส่งผลให้มองว่าความต้องการใช้สินเชื่อเพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนในธุรกิจปีนี้จะกลับมามีการเติบโตได้ โดยในปี 2567 นี้ บริษัทจะมุ่งเน้นการให้สินเชื่อแบบที่มีหลักประกันเป็นหลัก และยังคงให้ความสำคัญในการบริหารจัดการและดูแลพอร์ตลูกค้าหนี้อย่างใกล้ชิดต่อไป เพื่อป้องกับความเสี่ยงของการเกิดหนี้สูญ (NPL) ในอนาคต ซึ่งในปีนี้บริษัทกำหนดเกณฑ์การรักษาระดับเฉลี่ย NPL ให้ไม่เกิน 3-4% ใกล้เคียงกับในอดีตต่อไป

ทั้งนี้ สัดส่วนลูกหนี้ใน Stage 1 หรือลูกหนี้ที่ไม่ผิดนัดชาระ หรือลูกหนี้ที่ค้างชาระต้นเงินหรือดอกเบี้ย เป็นระยะเวลารวมกันไม่เกิน 1 เดือนนับแต่ วันถึงกาหนดชาระ กว่า 89% 

อีก 8% เป็น Stage 2 หรือ ลูกหนี้ที่ค้างชาระต้นเงิน หรือดอกเบี้ยเป็นระยะเวลารวมกันเกินกว่า 1 เดือนนับแต่วันถึงกาหนดชาระ แต่ไม่เกิน 3 เดือนนับแต่วันถึงกาหนดชำระ ซึ่งทั้ง 2 ส่วนหนี้ยังคงเป็นลูกหนี้ที่มีการชำระที่ดี ทำให้ส่วนที่มีความเสี่ยงมีเพียง 3% เท่านั้น

ส่วนกรณีนักลงทุนอาจเป็นกังวลว่าใน Stage ที่ 2 หากเทียบกับแบงก์ก็ถือว่าอยู่ในระดับที่มีความเสี่ยง แต่ต้องบอกว่าด้วยธุรกิจที่ดำเนินไม่เหมือนกัน ลูกค้าเป้าหมายก็เป็นคนละกลุ่ม ดังนั้นจึงไม่อาจเอาไปเทียบได้ และหากเปรียบเทียบกับอุตสาหกรรมไฟแนนซ์เชียล มองว่าสัดส่วน Stage ที่ 1-2 ก็ถือว่าอยู่ในระดับที่ดีกว่า

ในส่วนของสินทรัพย์รอการขาย ปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 1,650 ล้านบาท ซึ่งสัดส่วนกว่า 50% เป็นสินทรัพย์ที่บริษัทซื้อมาบริหารและรอการจำหน่ายออกในอนาคต เพราะมองว่าเป็นสิทรัพย์ที่มีมูลค่า

ขณะที่สินทรัพย์รถยึดนั้น บริษัทอาจมีการตั้งสำรองเพิ่มในช่วงครึ่งแรกปีนี้ และคาดว่าน่าจะจบได้ในช่วงไตรมาส 2/2567 นี้ และเริ่มทยอยจำหน่ายออกในช่วงปลายปีนี้เป็นต้นไป

อย่างไรก็ดี มองว่าราคาตลาดรถมือสองในปีนี้จะยังดูทรงตัวจากปีก่อน แต่คาดว่าในช่วงครึ่งปีหลังราคาจะกลับมามีการปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้น

ด้านการตั้งสำรองเผื่อหนี้สูญนั้น คาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 180 Basis Points เพื่อเป็นการตั้งเผื่อขาดทุนจากสินทรัพย์รอการขายโดยเฉพาะในส่วนของจักรยานยนต์ที่มีจำนวนเพิ่มขึ้น แต่คาดว่าจะสามารถทยอยจำหน่ายออกได้ในช่วงปลายปีนี้

ขณะที่ต้นทุนทางการเงิน (Cost of fund) ปัจจุบันอยู่ในระดับเฉลี่ยที่ 4% ต้องยอมรับว่าจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในช่วงที่ผ่านมาส่งผลให้บริษัทมีต้นทุนทางการเงินที่สูงขึ้น แต่มองว่าตอนนี้เป็นจุดพีคสุดแล้ว

จากการที่ธนาคารกลางหลายประเทศส่งสัญญาว่าปีนี้อาจมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ย ทำให้คาดว่าไทยเองก็จะปรับลงเช่นเดียวกันในช่วงครึ่งปีหลัง ซึ่งก็จะเป็นผลบวกต่อธุรกิจ

ส่วนแผนการลงทุนในปี 2567 บริษัทวางเป้าหมายการขยายสาขาใหม่เฉลี่ยวันละ 1 สาขา หรือเพิ่มสาขาใหม่ในปีนี้ประมาณ 300 สาขาทั่วประเทศ จากสิ้นปี 2566 ที่มีสาขาเปิดให้บริการแล้วกว่า 5,447 สาขา อีกทั้งบริษัทยังมีแผนแตกไลน์ผลิตภัณฑ์สินเชื่อใหม่ๆ เพิ่มมากขึ้น คาดว่าจะได้เห็นความชัดเจนในช่วงปลายปีนี้ 

พร้อมกันนี้ บริษัทยังคงมีความสนใจและอยู่ระหว่างการมองหาโอกาสในการขยายการลงทุนใหม่ๆ ทั้งแบบการควบรวมกิจการ (M&A) และการร่วมทุน (JV) ซึ่งตอนนี้ก็มีที่อยู่ระหว่างการศึกษา แต่คาดว่าคงยังไม่เห็นความชัดเจนในปีนี้ สำหรับแผนการขยายธุรกิจออกไปยังตลาดต่างประเทศนั้น ก็มีความสนใจอยู่ในหลายประเทศ แต่ในตอนนี้มีที่เข้าไปเริ่มทดลองตลาดแล้ว คือ ประเทศเวียดนาม ซึ่งยังประเมินอะไรไม่ได้ เพราะพอร์ตที่มีปัจจุบันยังเล็กมาก ต้องใช้เวลาในการศึกษาอีกระยะหนึ่ง