ดร.นิเวศน์ : หลักคิดของนักเลือกหุ้นระดับเซียน

17 ก.ย. 2566 | 08:35 น.
อัปเดตล่าสุด :17 ก.ย. 2566 | 08:40 น.

ดร.นิเวศน์ : เปิดหลักคิด การเลือกหุ้นและสไตลการลงทุนกับ 5 เซียนหุ้นชั้นนำโลก "วอเร็น บัฟเฟตต์ , จอร์จ โซรอส , ชาลี มังเกอร์, ปีเตอร์ ลินช์ และ เรย์ ดาลิโอ"

ผมเป็นคนที่ชอบอ่าน Quote หรือ “คำคม” ของคนที่มีชื่อเสียงโดยเฉพาะในเรื่องที่ผมสนใจ  ผมคิดว่ามันให้ข้อคิดที่ดีและทำให้เราจำได้เวลาที่ผมประสบกับเรื่องนั้น ผมจะได้คิดตรึกตรองอย่างลึกซึ้งขึ้น  และ “คำคม” เกี่ยวกับการลงทุนก็เป็นสิ่งหนึ่งที่ผมชอบและก็มักจะจำได้แม้ว่าจะไม่ตรงกับคำพูดของคนนั้นร้อยเปอร์เซ็นต์  แต่ผมก็มักจะจำเนื้อหาหลักของมันได้  ลองมาดูกันว่า  “เซียนหุ้น” หรือนักเลือกหุ้นชั้นนำเขาพูดหรือคิดอะไรกันบ้าง

คนแรกที่ผมคิดและจดจำเสมอเวลาจะลงทุนในหุ้นแต่ละตัวก็คือคำคมของ วอเร็น บัฟเฟตต์ที่ว่า  “กฎข้อแรกของการลงทุนก็คือ  อย่าขาดทุน  และกฎข้อสองของการลงทุนก็คือ อย่าลืมกฎข้อแรก  และนั่นก็คือกฎทั้งหมดที่มี” นี่เป็นกฎที่ดูไม่ได้มีอะไรโดดเด่น  เพียงแต่เป็นการเล่นคำ  อย่างไรก็ตาม  เพราะมันเป็นคำพูดของบัฟเฟตต์  เซียนหุ้นหมายเลข 1 ของโลก  มันจึงมีความหมายและกลายเป็นคำคมที่คนรู้จักมากที่สุด—แม้ว่าน้อยคนจะปฏิบัติติตามจริง ๆ

สำหรับผมแล้ว  ผมคิดว่านี่เป็นหลักการที่ผมยึดถือมากที่สุด ผมเชื่อว่าเขาพูดอย่างมีความหมายและจริงจัง  เบื้องหลังของมันก็คือ  การลงทุนในหุ้นหรือหลักทรัพย์ของบัฟเฟตต์ทุกครั้งจะต้องมีการวิเคราะห์อย่างลึกซึ้ง โดยเฉพาะในด้านที่ว่ามันจะมีโอกาสผิดพลาดและทำให้ขาดทุนในระยะยาวหรือไม่  ถ้ามี  เขาก็จะไม่ซื้อ  แม้ว่าโอกาสที่จะกำไรมหาศาลจะสูงกว่า  และนั่นก็เป็นเหตุผลสำคัญส่วนหนึ่งว่าเขาจะลงทุนในหุ้นจำนวนน้อยตัวมากเมื่อเทียบกับนักลงทุนอื่นที่มีพอร์ตใหญ่เช่นกัน  และก็แทบจะไม่ขายหุ้นเลยหลังจากซื้อแล้ว  

 

สิ่งที่ทำให้ผมเชื่อหลักคิดของบัฟเฟตต์ข้อนี้ก็คือ  สถิติการลงทุนของบัฟเฟตต์ในช่วงเวลากว่า 70 ปี ของเขานั้น  มีหุ้นหรือหลักทรัพย์ที่เขาลงทุนและต้องขายขาดทุนน้อยมาก ส่วนใหญ่แล้วหุ้นแต่ละตัวจะกำไรมหาศาลเนื่องจากเขาถือมายาวนาน  แน่นอนว่ามีหุ้นหลายตัวที่ “น่าผิดหวัง”และเขาต้องขายออกไป  แต่ที่ขาดทุนจริง ๆ  นั้นมักจะมีน้อย เหตุผลก็คือ  ในหลายกิจการที่เขาไม่แน่ใจในผลประกอบการของบริษัทเนื่องจากอาจจะกำลังประสบปัญหาในยามที่เศรษฐกิจหรืออุตสาหกรรมกำลังตกต่ำ  เช่นหุ้นสถาบันการเงินหรือหุ้นการบินบางตัว  เขาก็มักจะเลือกลงทุนในพันธบัตรที่สามารถแปลงเป็นหุ้นได้  ซึ่งถ้าบริษัทไม่ฟื้นตัวดีแต่ก็ไม่ถึงกับเจ๊ง  เขาก็สามารถถอนทุนออกมาโดยการไม่แปลงสภาพเป็นหุ้นและรับดอกเบี้ยที่ค่อนข้างสูงแทน

หลักคิดที่สอง ก็คือของ จอร์จ โซรอส ซึ่งก็ถือว่าเป็น “เซียนนักเก็งกำไรบันลือโลก”  คำคมของเขาที่นักเก็งกำไรทั่วโลกยึดถือก็คือ  “มันไม่ใช่เรื่องที่คุณจะถูกหรือผิดในการเลือกหลักทรัพย์ลงทุน  แต่เป็นเรื่องว่าคุณจะกำไรเท่าไรถ้าคุณถูก  และจะขาดทุนเท่าไรเมื่อคุณเลือกผิด

ความหมายของโซรอสก็คือ  คุณจะขาดทุนหุ้นกี่ตัวและกำไรกี่ตัวก็ไม่สำคัญ  ถ้าเวลาที่ขาดทุนนั้นก็อย่าขาดทุนมาก  คืออย่าไปเล่นมากถ้ายังไม่แน่ใจ  เช่น  ซื้อไปแล้วหุ้นก็ไม่ได้วิ่งไปไหนหรือซื้อแล้วหุ้นตกลงไปด้วยซ้ำ  ในกรณีแบบนี้  ไม่ต้องคิดซื้อถัวเพื่อลดต้นทุนอะไรทั้งสิ้น  ต้องขายทันที  แต่ถ้าซื้อแล้วหุ้นวิ่งขึ้นไปแรงและมีปริมาณการซื้อขายหุ้นสูงขึ้นชัดเจน  ก็จะต้อง  “อัดเต็มแม็ก”  ทำกำไรจากหุ้นหรือหลักทรัพย์นั้นอย่างมหาศาลมากกว่าการขาดทุนที่ซื้อหุ้นหรือหลักทรัพย์ผิดพลาดหลาย ๆ  ตัว

 

และนั่นก็คือแนวทางการเลือกหรือเล่นหุ้นหรือหลักทรัพย์ของโซรอสที่มีเรื่องเล่าว่า  เวลาที่ลูกน้องเสนอจะซื้อหุ้นหรือหลักทรัพย์ตัวไหน  โซรอสจะลองทดสอบดูว่าหุ้นจะดีจริงหรือเปล่าโดยการชอร์ตหรือขายหุ้นตัวนั้นก่อนแบบทุ่มเข้าไปล็อตหนึ่ง  ถ้าหุ้นตกอาจจะเพราะไม่ค่อยมีคนรับพอ  เขาก็จะถอยจากหุ้นตัวนั้น  อาจจะโดยการปิดชอร์ต และทำกำไรเล็กน้อย   แต่ถ้าหุ้นไม่ตกและกลับปรับตัวขึ้นไปซึ่งก็จะทำให้เขาขาดทุนเล็กน้อยเมื่อต้องซื้อหุ้นตัวนั้นกลับ  แต่หลังจากนั้น  เขาก็จะซื้อหุ้นตัวนั้นแบบ “จัดเต็ม” และหวังว่าหุ้นจะวิ่งขึ้นไปอย่างแรง  ทำกำไรได้มหาศาล

หลักคิดที่สาม  เป็นของชาลี มังเกอร์ คู่หู วอเร็น บัฟเฟตต์ ซึ่งมีชื่อเสียงว่าเป็นคน “ปากจัด” ไม่แคร์ใครหรือต้องรักษาภาพลักษณ์ของตนเอง  “ซิกเนเจอร์” ของเขาก็คือ  ลงทุนแต่ใน “หุ้นที่ดีเยี่ยม” ในแง่ของสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ของบริษัท  และที่จริงก็เป็นคนที่โน้มน้าวให้บัฟเฟตต์เปลี่ยนแนวทางการลงทุนที่เป็นแบบ VI ของเบน เกรแฮมที่เน้นหุ้นถูกมาก  มาเป็นแบบ “ซุปเปอร์สต็อก” ที่เน้นบริษัทที่ดีเยี่ยม  ในราคาที่ยุติธรรม  เช่นหุ้นของ “ซีแคนดี้” บริษัทช็อกโกแล็ตยอดนิยมในแคลิฟอร์เนีย เมื่อหลายสิบปีก่อนที่ก็ยังอยู่ในพอร์ตของเบิร์กไชร์และบัฟเฟตต์ยังพูดถึงบ่อย ๆ  จนทุกวันนี้

คำคมของชาลี มังเกอร์ที่เข้าใจว่าเพิ่งจะพูดไม่นาน  แต่ก็น่าจะเป็นหลักคิดของเขามาหลายสิบปีแล้วและผมก็ขอลอกจากเวบไซ้ต์ “คลับ VI” ก็คือ  “เขา (เบน เกรแฮม)  ทำเงินได้หลายต่อหลายล้านเหรียญจากการลงทุนเน้นมูลค่า  ในบริษัทห่วย ๆ ซึ่งราคาถูกมาก ๆ .. แต่การเฝ้ามองบริษัทห่วย ๆ  ที่คุณไม่ชอบ  มันไม่น่าอภิรมย์เอาซะเลย .. สู้มองบริษัทที่คุณชื่นชมประสบความสำเร็จขึ้นไปเรื่อย ๆ ไม่ได้หรอก มันสนุกกว่ากันตั้งเยอะเมื่อเทียบกับการมองคนทุเรศ ๆ บริหารบริษัทราคาถูก ๆ  แบบ  ผิด ๆ  ถูก ๆ” 

หลักคิดที่สี่  เป็นของ ปีเตอร์ ลินช์ ซึ่งผมอยากจะเรียกว่าเป็น  “Wisdom of the Mass” หรือเป็น “ภูมิปัญญาชาวบ้าน” ในการเลือกบริษัทหรือหุ้นที่จะลงทุน  พวกเขาเหล่านั้น  ซึ่งไม่ได้เป็นผู้ที่เกี่ยวข้องกับตลาดหุ้นหรือหุ้นอะไรเลย  แต่เป็นคนที่ทำงานหรือซื้อสินค้าและบริการที่ใช้ในชีวิตประจำวัน  จะเป็นคนที่มีข้อมูลที่ดีที่สุดในการวิเคราะห์หรือประเมินว่าหุ้นตัวไหนกำลังดีหรือแย่  พวกเขาอาจจะเป็นเด็กที่กำลังเห่อรองเท้าคู่ใหม่ของไนกี้  หรือเป็นผู้หญิงที่อาจจะเป็นภรรยาเราที่มาคุยว่าชอบเสื้อผ้าหรือเครื่องสำอางของยี่ห้อไหน  หรือเป็นเพื่อนร่วมงานที่กำลังนิยมกินอาหารภัตตาคารใหม่ที่กำลังเติบโตกระจายไปทั่วประเทศ  เป็นต้น คำคมของเขาสั้น ๆ  ก็คือ  “ถ้าคุณเป็นคนขับรถบรรทุก  คุณก็มีความได้เปรียบในฐานะนักลงทุนที่สุดแล้ว”  เพราะคุณจะรู้ว่าสินค้าอะไรที่ขายดีที่สุด

หลักคิดที่ห้า  เป็นของ เรย์ ดาลิโอ “นักลงทุนจอมหลักการ” ตามชื่อหนังสือที่เขาเขียนเรื่อง  “Principles”  หลักคิดของเขาก็คือ  ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนตั้งอยู่บนหลักการที่แน่นอน  อย่างไรก็ตาม  มันจะเคลื่อนไหวเป็นคลื่นระยะยาวที่ขึ้น ๆ ลง ๆ   ตัวอย่างเช่น  ความเจริญก้าวหน้าทางเศรษฐกิจ  การเคลื่อนไหวของเงินตราของประเทศผู้นำของโลกตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันและในอนาคตจะเกิดอะไรขึ้น  ซึ่งดูเหมือนว่าเขาจะทำนายว่าสหรัฐอเมริกากำลังเสื่อมลงและประเทศกำลังพัฒนาอย่างจีนจะมีบทบาทมากขึ้น  เขาพูดว่าระเบียบของโลกกำลังเปลี่ยนแปลงไปจากการที่อเมริกาเป็นผู้กำหนดจะกลายเป็นโลกที่อเมริกาก็เป็นแค่ผู้เล่นหนึ่ง  ดังนั้น  การหาหุ้นลงทุนนั้นก็จะต้องมองไปในภาพใหญ่และต้องดูว่าที่ไหนหรือประเทศไหนจะเป็นแหล่งลงทุนที่ดีในอนาคต

ส่วนตัวผมเองนั้น  ไม่ได้เชื่อตามการวิเคราะห์ภาพใหญ่ของ เรย์ ดาลิโอ  แต่ก็คิดแบบเดียวกันในเรื่องของความจำเป็นที่จะต้อง “อยู่ในตลาดหรือที่ที่ถูกต้อง” ในเชิงภูมิรัฐศาสตร์ ซึ่งในช่วงอาจจะ 10 ปีนี้  ของผมก็คือเวียตนาม  แต่ของเขาอาจจะเป็นจีน  

หลักคิดในการลงทุนของเซียนนักเลือกหุ้นทั้ง 5 คน นี้ ครอบคลุมหลักการใหญ่ ๆ ของแทบทุกสไตล์การลงทุนหลัก ๆ  ของโลกในทางปฏิบัติ  เริ่มตั้งแต่แนวทาง VI  ก็คือ แนวของ วอเร็น บัฟเฟตต์-ชาลี มังเกอร์ ซึ่งผมคิดว่าเราควรจะเรียกเป็นคู่แบบนี้  เหตุผลเพราะว่าความคิดของการลงทุนแบบ “ซุปเปอร์สต็อก” นั้น  เป็นความคิดเริ่มต้นโดยมังเกอร์ ที่บัฟเฟตต์ยอมรับและนำมาใช้และกลายเป็นซิกเนเจอร์ของเบิร์กไชร์  ไม่ใช่ของบัฟเฟตต์คนเดียว

หลักการลงทุนแบบ “เก็งกำไร” ที่ “มีหลักการ” และไม่ได้เป็นแค่การสุ่มเสี่ยงและขึ้นอยู่กับสถานการณ์แบบจอร์จ โซรอส นั้น  ผมคิดว่าเป็นแนวทางให้กับ  “นักเก็งกำไร” ที่หวังจะประสบความสำเร็จในระยะยาวได้  และอาจจะไม่ได้เสี่ยงมากอย่างที่นักลงทุนอื่นเข้าใจ  เหนือสิ่งอื่นใด  โซรอสไม่ได้ “เล่นทุกวัน” และ “เล่นน้อย ๆ”  อย่างที่นักลงทุนแบบ  “แมงเม่า” ทำ  เขาเลือกเล่นและ “กินคำโต” ที่มั่นใจมาก เพราะวิเคราะห์มาแล้วอย่างดี

ปีเตอร์ ลินช์ นั้น  เหมาะกับ VI ที่เน้นแนวเทรดหุ้นที่มีความขยันหาข้อมูลและหวังได้ผลตอบแทนที่ดีโดยที่มีความเสี่ยงที่ยอมรับได้  พวกเขาลงทุนในหุ้นหลาย ๆ  ตัวมากซึ่งเท่ากับลดความเสี่ยงของพอร์ตลงโดยที่ผลตอบแทนสูงกว่ามาตรฐานหรือดัชนีได้

สุดท้ายคือ เรย์ ดาลิโอ ที่มองภาพใหญ่และความจริงของชีวิตและประเทศที่จะดำเนินไป  ซึ่งจะช่วยให้เราไม่ติดกับอยู่ในภาพเล็กที่เราอาจจะคุ้นเคยและ “ไม่ตั้งคำถาม”  จนถึงเวลาที่มันสายเกินไปก่อนที่จะทำอะไร