ดร.นิเวศน์ : บริหารเงิน VS บริหารสุขภาพ

20 ส.ค. 2566 | 08:08 น.
อัปเดตล่าสุด :20 ส.ค. 2566 | 08:14 น.

ถ้าจะถามว่าวัน ๆ หนึ่งผมทำอะไรบ้าง  คำตอบของผมก็คือ ส่วนใหญ่มากก็คือ  “บริหารเงิน” หรือจริง ๆ  ก็คือเรื่องของการลงทุน  ซึ่งก็รวมถึงการอ่าน  พูด และเขียน  นอกจากนั้น  เวลา “ว่าง” หรือทำอย่างอื่นเช่น  การเดินช้อปปิงก็มักจะเป็นเรื่องของการ “คิด” ไปเรื่อย ๆ

ในประเด็นที่หลากหลายมาก  ส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องของมนุษย์และสังคม โดยเฉพาะเรื่องของเหตุผลว่าทำไมจึงเกิดเหตุการณ์ต่าง ๆ  ขึ้นในประเทศไทยและในโลก  และจะเป็นอย่างไรต่อไป  ทั้งหมดนั้นก็มักจะอิงอยู่กับ “พื้นฐานของมนุษย์” ที่ “ถูกควบคุมโดยยีน”  และโดยมี “ประวัติศาสตร์” เป็นสิ่งที่จะช่วยยืนยันความคิดนั้น

แต่สิ่งที่ผมทำมากขึ้นเรื่อย ๆ  เมื่อเวลาผ่านไปและผมมีอายุมากขึ้นก็คือ  การ “บริหารสุขภาพ” ซึ่งจนถึงวันนี้ก็กลายเป็น “สิ่งสำคัญที่สุด” เพราะโอกาสที่จะเจ็บป่วยหรือตายสูงขึ้นมากเมื่อคนมีอายุมากขึ้นถึงจุดหนึ่ง  ถ้าไม่ทำอะไร  เราอาจจะป่วยหนักและฟื้นตัวกลับไม่ได้เหมือนตอนที่เป็นหนุ่มสาว  ความสุขจะหายไปมากมาย  ถ้าไม่ทำอะไรก็อาจจะตายเร็ว  และเงินที่มีอยู่ก็ไม่มีความหมายอะไรอีกต่อไป  มาดูกันว่าผมมีความคิดเกี่ยวกับเรื่องของการบริหารสุขภาพอย่างไร

เบื้องต้นเลยผมเห็นว่าการบริหารสุขภาพและการบริหารเงินนั้น  เป็นศาสตร์และศิลป์พอ ๆ  กัน  นั่นก็คือ  จะต้องประกอบไปด้วยหลักการใหญ่และสำคัญๆ ที่เป็นวิทยาศาสตร์  กล่าวคือมีการพิสูจน์หรือมีหลักฐานเชิงประจักษ์ ที่มีการศึกษาอย่างกว้างขวางและยาวนานว่าหลักการและวิธีการทำงานในเรื่องการบริหารเงินและการบริหารสุขภาพแบบไหนเป็นสิ่งที่ก่อให้เกิดผลดีและแบบไหนเป็นผลเสียต่อเรื่องการเงินและสุขภาพ

 

ตัวอย่างเช่น  ถ้าเป็นเรื่องของการเงินแล้ว  การที่จะลงทุนแล้วให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าก็มักจะต้องมีความเสี่ยงที่สูงขึ้น เช่น ลงทุนในหุ้นก็ต้องเสี่ยงกว่าการฝากเงิน  อย่างไรก็ตาม มีวิธีลดความเสี่ยงที่ได้ผลดีก็คือการกระจายความเสี่ยงให้เหมาะสมที่เราพอจะรับได้  หรือในเรื่องของสุขภาพนั้น ศาสตร์ที่ชัดเจนว่าดีต่อสุขภาพแน่นอนก็คือ  การกินอาหารที่ดีต่อสุขภาพและมีสารอาหารครบหมู่  อยู่ในที่ ๆ มีอากาศบริสุทธ์  ออกกำลังกายสม่ำเสมอ  นอนให้เพียงพอ  อย่าให้มีน้ำหนักตัวเกิน  และมีสภาพจิตที่ดี  ไม่เครียดเกินไป

ในด้านของศิลปะนั้น  ก็มักจะเป็นเรื่องของการปรับแต่งว่าเราควรจะทำแต่ละเรื่องมากน้อยแค่ไหนและอย่างไร  ในเรื่องของการลงทุนก็เช่น  จะกระจายความเสี่ยงแค่ไหนที่จะทำให้การลงทุนระยะยาวของเราได้ผลดีที่สุด  กล่าวคือ ได้ผลตอบแทนน่าพอใจและความเสี่ยงไม่สูงเกินไป  เช่น  ไม่เคยขาดทุนเกิน 30% เลยในระยะเวลา 10-20 ปี และผลตอบแทนทบต้นได้ถึงปีละ 12% เป็นต้น  โดยที่การกระจายความเสี่ยงนั้น  รวมไปถึงการลงทุนในหลาย ๆ  หลักทรัพย์  ทั้งที่เป็นหุ้น  พันธบัตร และอาจรวมถึงทองและอสังหาริมทรัพย์ด้วย  เช่นเดียวกับการลงทุนในต่างประเทศที่อาจจะจำเป็นมากขึ้นทุกที  เป็นต้น

ศิลปะของการบริหารสุขภาพนั้น  แน่นอนว่าอาจจะรวมไปถึงการกินอาหารเสริมและวิตามิน  บางคนก็อาจจะเสริมด้วยฮอร์โมน  บางคนก็ดื่มน้ำมากกว่าปกติในบางช่วงเวลา  ตาม  “หนังสือบางเล่ม” ที่เขียนแนะนำว่าจะก่อให้ผลดีต่อสุขภาพ  แต่ทั้งหมดนั้นก็ไม่รู้ว่าจริงหรือไม่  เพราะดูเหมือนว่าจะไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์รองรับจริง ๆ  
 

เรื่องสุขภาพนั้นก็คล้าย ๆ  กับเรื่องของการบริหารเงินและการลงทุน  ที่แต่ละคนก็มีวิธีและหลักการแตกต่างกันและทุกคนก็ดูเหมือนว่าสามารถที่จะชักชวนให้คนเชื่อว่าวิธีของตนเองนั้นดี  “ผมทำมาแล้วได้ผลดีมากและคุณก็ทำได้” โดยที่ความเป็นจริง  คนที่ติดตามและอาจจะตามอ่านหนังสือของคนเขียนก็ไม่รู้ว่า  เขาทำแล้วรวยจริงไหม? หรือเขาทำแล้วสุขภาพดีขึ้นมากนั้นจริงหรือไม่?  บางทีเขาอาจจะ “กุเรื่องขึ้น” เพื่อเขียนหนังสือขายหรือขายคอร์สเรียนราคาแพง  หรือตั้งใจชวนให้คนมาซื้ออาหารเสริม  หรือช่วยปั่นหุ้นหรือหลักทรัพย์อ้างอิงอะไรก็เป็นได้

แน่นอนว่า  การที่จะชักชวนให้คนเชื่อได้จริง ๆ  ก็คงต้องมี “หลักฐาน” บางอย่างให้เห็นนอกจากการพูดหรือเขียนให้ฟังดูน่าประทับใจ  ในเรื่องของการลงทุนนั้น  ไม่มีอะไรดีไปกว่าการโชว์ว่า “ผมรวย” จากวิธีการที่ผมทำ  เช่น  การโชว์พอร์ตลงทุนว่าใหญ่และมีเงินขนาดไหนหรือแสดงกำไรเป็นร้อย ๆ  เปอร์เซ็นต์ในการเทรดฟอร์เร็กซ์หรือเหรียญ  เป็นต้น  หรือในกรณีของสุขภาพก็จะต้องโชว์ความอ่อนเยาว์กว่าอายุจริงให้เห็นอย่างชัดเจน  เป็นต้น

ศิลปะของการบริหารสุขภาพและการเงินหลาย ๆ  เรื่องนั้น ก็อาจจะเป็นเรื่องจริงหรือได้ผลจริงและเกิดขึ้นกับเจ้าตัวคนทำ  อย่างน้อยก็เป็นเรื่องของผลระยะสั้นและเป็นเรื่องของ  “ความรู้สึก” แต่แล้วเมื่อเวลาผ่านไปทุกอย่างก็อาจจะกลับมาเหมือนเดิม  ดูเหมือนว่าการทำแบบนั้นจะเป็นแฟชั่นที่มาสักพักแล้วก็ไป  ตัวอย่างผมคิดว่ามีมากมายและแทบจะตลอดเวลา  เช่น

เรื่องของฮอร์โมนเสริมต่าง ๆ  ที่จะทำให้คนมีสุภาพดีและเป็นหนุ่มสาวขึ้น  เช่น  ฮอร์โมนเมลาโทนินที่ช่วยในการนอนหลับ  โกรทฮอร์โมนที่ทำให้เด็กเติบโตและซ่อมสร้างร่างกายที่สึกหรอ  และฮอร์โมนอีกมากมายที่คนเราจะมีน้อยลงเมื่ออายุมากขึ้น  ดังนั้น  เราจึงควรเติมให้เหมือนกับตอนเป็นหนุ่มสาว  ซึ่งจะทำให้เราย้อนวัยกลับเป็นหนุ่มสาวได้ และแนวคิดแบบนี้ก็น่าจะมีส่วนที่ก่อให้เกิด “แพทย์ทางเลือก” แขนงหนึ่งก็คือ  เรื่องของ Anti-Ageing หรือ “การแพทย์ชะลอวัย” ที่ร้อนแรงมากมาจนถึงทุกวันนี้

แต่นี่เป็นเรื่องจริงหรือ?  ชะลอวัยได้จริงหรือ   ผมเองก็ไม่รู้ แต่ก็เคยเข้าไปใช้บริการและก็ยังกินฮอร์โมนบางอย่างอยู่ แม้จะรู้สึกว่าอาจจะไม่มีผลอะไรในระยะยาว  ประเด็นก็คือ  ก็ยังไม่เห็นข้อเสียอะไร  มีแค่เสียเงินบ้างแต่เราก็ไม่เดือดร้อน นี่ก็อาจจะคล้าย ๆ  กับคนที่ไม่เชื่อว่านรกสวรรค์มีจริง  แต่ก็อยากทำบุญเผื่อไว้  ถ้าเราคิดผิด  กลายเป็นว่านรกสวรรค์มีจริง  ก็จะได้ปลอดภัยว่าได้ทำบุญไว้แล้ว

ศิลปะในการบริหารเงินนั้น  มีมากเท่า ๆ กับ  “เซียน” ในตลาดหุ้น  ตลาดเงิน หรือตลาดเหรียญต่าง  ๆ   ทุกครั้งที่ตลาดซื้อขายบูม  ราคาวิ่งขึ้นไปแรงมาก  ก็จะมีคนนำเสนอวิธีการลงทุนหรือเทรดตราสารที่ตนเองทำแล้วกำไรได้มหาศาลและรวดเร็ว  การไปบรรยายหรือสอนนั้นก็จะเป็นช่องทางที่จะทำให้เป็นที่ยอมรับ  ส่วนเทคนิคหรือวิธีการที่ใช้นั้น  บางครั้งก็ไม่ใช่ของจริงหรือบอกไม่หมด  ตัวอย่างเช่น  ไม่ได้บอกว่าตนเองมีอินไซ้ต์  หรือหุ้นนั้นถูกปั่นหรือถูกคอร์เนอร์ เป็นต้น

ในหลาย ๆ  กรณี  เทคนิควิธีก็เป็นสิ่งที่ทำให้การลงทุนประสบความสำเร็จสูง  แต่เมื่อคนทำตามก็อาจจะมีปัญหา  อาจจะเป็นเพราะเข้าตลาดในช่วงที่หลักทรัพย์ขึ้นไปมากแล้ว  คนที่เข้ามาแทนที่จะเป็น “ผู้ล่า”  ก็กลายเป็น “เหยื่อ” เพราะเข้าไปซื้อในช่วงที่ราคาแพงมาก  และกระแสของการเก็งกำไรในหลักทรัพย์ดังกล่าวจบลง  ดังนั้น  ศิลปะในการลงทุนที่มีคนนำเสนอมากมายตลอดเวลาจึงมักจะเป็นเรื่องที่ “ดีชั่วคราว”  และถ้าใครทำผิดเวลาก็อาจจะเสียหายหนัก  ในขณะที่เซียนที่เสนอหลักการ  “รวย” เพราะมีคนมารับต่อหุ้นหรือหลักทรัพย์ที่ขึ้นไปมาก

ในกรณีของเหรียญหรือตราสารที่มีขนาดใหญ่และเทรดกันในระดับโลกนั้น  ศิลปะในการลงทุนดูเหมือนว่าแทบจะไม่ช่วยอะไรแม้ว่าตอนที่ทำจะรู้สึกว่าน่าจะดี  แต่เป็นเรื่องในอดีตที่เกิดขึ้นแล้ว  อนาคตอาจจะเป็นตรงกันข้าม  ศาสตร์ของการใช้กราฟในการเล่นตราสารหรือเหรียญนั้นบอกว่า เป็นวิธีที่ไม่ได้ผล  ไม่มีหลักฐานว่ามีใครชนะได้จริงในระยะยาว  ดังนั้น  การเล่นแทบจะไม่ต่างกับการพนันที่มีแต้มต่อติดลบเพราะค่าคอมมิชชั่น  การกำไรขาดทุนในระยะสั้นขึ้นอยู่กับโชค  ในระยะยาวมีแต่จะขาดทุน  คนที่อาจจะได้บ้างก็คือคนที่ขายคอร์สเรียนในราคาแพงแต่ไม่ได้ผลอะไรเลย

จุดยืนของผมในเรื่องของการบริหารการลงทุนนั้นก็คือ  ผมสนใจและศึกษาเฉพาะศิลปะของการทำเงินระยะยาว  ในส่วนของสุขภาพนั้น  ผมสนใจที่จะลองในเรื่องที่คิดว่ามีโอกาสเป็น  “ของจริง” แม้ว่าในขณะนี้ผมยังไม่เห็นว่าอะไรจะทำให้สุขภาพดีและหนุ่มขึ้นนอกเหนือจากศาสตร์ 4-5 ข้อที่กล่าว  ซึ่งผมก็ทำเกือบทุกข้อแล้ว  อย่างไรก็ตาม  ถ้าเป็นเรื่องที่มี “ต้นทุน” สูง  ผมก็จะไม่ทำ

ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร  ผมก็ยังเชื่อว่าความสำเร็จทางด้านการเงินและสุขภาพที่ดีนั้น  นอกจากเรื่องของการบริหารแล้ว  ยังขึ้นอยู่กับ  “โชคชะตา”  ไม่น้อย  และนี่ก็ทำให้ผมรู้สึกอิจฉาวอเร็น บัฟเฟตต์ ว่า  เขานั้นสุดยอดในด้านการเงินซึ่งน่าจะเกิดจากการบริหาร  แต่ในด้านสุขภาพเขาน่าจะบริหารได้ไม่ดีนักเพราะกินแต่แฮมเบอร์เกอร์และโค้กวันละหลายกระป๋อง  แต่สุขภาพยังดีเยี่ยมจนถึงวันนี้ที่อายุ 93 ปีแล้วก็ยังไปทำงานทุกวัน  เขาบอกว่ามันคงเป็นเรื่องยีนของเขา