ดร.นิเวศน์ : หุ้นสุดยอด…หายนะ

17 มิ.ย. 2566 | 20:53 น.
อัปเดตล่าสุด :17 มิ.ย. 2566 | 20:54 น.
1.3 k

หุ้นสุดยอด...หายนะ : ดร.นิเวศน์ ยก 3 กลุ่มหุ้น ที่มีลักษณะเข้าข่าย "หุ้นเติบโตเทียม หุ้นกลุ่มซุปเปอร์สต็อกเทียม และ หุ้นโกง" เตือนใจ"แม่งเม่า"ที่มักหลงติดกับดัก

 

ช่วงเร็ว ๆ  นี้เราได้พบเห็นหุ้นที่ “เคยดีมาก” คือราคาเคยขึ้นไปอย่างรวดเร็วและสูงมาก หลายตัวขึ้นไปหลายเท่าในเวลาเพียงไม่กี่เดือนหรือแค่ปีสองปี แต่แล้วหลังจากนั้น มันก็ตกลงมาอย่างรวดเร็ว หลายตัวลดลงมา 30-40% ขึ้นไป  บางตัวลดลงมาถึง 90%  และราคาเหลือแค่เศษสตางค์หรือหมดค่าไปเลยภายในเวลาไม่กี่เดือนหรือแค่ 2-3 ปี

คนที่ซื้อหุ้นก่อนที่ราคาจะขึ้นและขายก่อนที่มันจะตกลงมาแรง ทำกำไรได้มโหฬาร  พวกเขาคงเรียกมันว่า“หุ้นสุดยอด”  คนที่สังเกตการณ์หรือนักลงทุนในตลาดหุ้นเรียกพวกเขาว่า  “เซียน”  ส่วนคนที่เข้าไปซื้อตอนที่หุ้นขึ้นไปสู่จุดสูงสุดและขายตอนที่หุ้นตกลงมาต่ำสุดนั้นคงเรียกว่ามันเป็น “หุ้นสุดยอดหายนะ” เพราะขาดทุนหุ้นหนัก  อย่างไรก็ตาม หุ้นตัวนั้นก็ไม่ทำให้พวกเขาล้มละลายหรือต้องเลิกเล่นหุ้นไปเลย  พวกเขาก็มักจะ  “Move On” หรือไปหาหุ้นตัวใหม่ที่เขาคิดว่าจะทำกำไรได้รวดเร็วและขายออกไปทัน  นักสังเกตการณ์บางคนเรียกพวกเขาว่า  “เม่า” ที่เป็นนักเล่นหุ้นรายย่อยจำนวนมากที่ชอบเล่นหุ้นที่ขึ้น-ลงรวดเร็วที่พวกเขาจะสามารถ “ทำกำไร” ได้ในช่วงเวลาสั้น ๆ 

จากการสังเกตการณ์ของผมเองนั้นพบว่า  หุ้นที่มีลักษณะหรืออาการดังกล่าวนั้น  มักจะมาจากหุ้นอย่างน้อย 3 กลุ่ม คือกลุ่มที่ผมเรียกว่า “Pseudo Growth” หรือหุ้นกลุ่ม “เติบโตเทียม” กลุ่ม “Pseudo Super Stock” หรือหุ้น “ซุปเปอร์สต็อกเทียม”   และกลุ่ม “Fraud” หรือกลุ่ม “หุ้นโกง” โดยที่หุ้นบางตัวนั้นก็อาจจะมีลักษณะคาบเกี่ยวกับทั้ง 3 กลุ่มได้  เช่น  สร้างภาพว่าเป็นหุ้นโตเร็วแต่ในขณะเดียวกันก็มีการโกงโดยการแต่งบัญชีอย่างผิดกฎหมายหรือผิดหลักการทางบัญชีด้วย  เป็นต้น  

 

วิธีสังเกตว่าหุ้นตัวไหนอาจจะเข้าข่ายเป็นหุ้นเติบโตเทียมก็คือ   ผู้บริหารมักจะมีโปรเจคใหม่มากมายเป็นสไตล์  “จ้าวโปรเจค” และสิ่งที่ทำมากที่สุดเพราะจะทำให้เห็นผลรวดเร็วก็คือ  การทำ M&A หรือซื้อกิจการหรือซื้อหุ้นของบริษัทที่ทำกำไรอยู่แล้ว  ซึ่งก็จะทำให้กำไรของบริษัทเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วกลายเป็น  บริษัทโตเร็วหรือ “หุ้นเติบโต”  ยิ่งบริษัทที่ซื้อเข้ามาอยู่ในธุรกิจหรืออุตสาหกรรม  “แห่งอนาคต”  ภาพของบริษัทก็ยิ่งดูเติบโตเร็วมากขี้น  อย่างไรก็ตาม  บริษัทที่ดูไฮเท็คหรือเป็นดิจิทัลที่ประสบความสำเร็จจริง ๆ ก็หาซื้อได้ยากและจะต้องจ่ายราคาหุ้นที่แพงมากจนอาจจะไม่คุ้ม

ดังนั้น  ธุรกิจหรือหุ้นที่ซื้อมาจึงมักจะไม่ดีและ/หรือแพงเกินไป  โดยมักจะเป็นธุรกิจที่มี “กำไรดี” ในตอนที่ซื้อ  แต่อนาคตก็มักจะแย่ลงเพราะกำไรนั้นไม่โตหรือไม่ยั่งยืน  ตัวอย่างเช่น  บริษัทลีสซิ่งหรือปล่อยกู้ส่วนบุคคลรายย่อย  หรือไม่ก็เป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์รายเล็ก เป็นต้น  ในส่วนของธุรกิจใหม่แห่งอนาคต  ก็อาจจะกลายเป็นการลงทุนในเหรียญคริปโตหรือการทำเหมืองขุดบิตคอยน์ในช่วงที่คริปโตกำลังให้ผลตอบแทนที่ดีมาก  เป็นต้น

หนี้สินที่พอกพูนขึ้นอย่างรวดเร็วก็เป็นอีกอาการหนึ่งของกลุ่มหุ้นเติบโตเทียม  เพราะบริษัทต้องใช้เงินจำนวนมากไปซื้อกิจการที่บางทีก็ใหญ่กว่าตัวเอง  และนี่ก็เป็น  “ความเสี่ยง” ที่สำคัญที่จะทำให้บริษัทมีปัญหา  เพราะบริษัทและกิจการที่ซื้อมาอาจจะประสบปัญหาจากภาวะเศรษฐกิจที่เลวร้ายลงและกิจการขายสินค้าที่เป็นแนวโภคภัณฑ์ที่ยอดขายและกำไรผันผวนสูงมาก  ทำให้ฐานะทางการเงินรองรับไม่ได้และกลายเป็นบริษัทที่มีปัญหาในที่สุด

กลุ่มหุ้นซุปเปอร์สต็อกเทียมนั้น  แตกต่างจากหุ้นเติบโตเทียมในแง่ที่ว่าตัวบริษัทเองมีคุณสมบัติที่อาจจะเป็นซุปเปอร์สต็อกหลายอย่าง  เช่น  บริษัทมีแบรนด์หรือมียี่ห้อที่โดดเด่นในสินค้าอุปโภคบริโภคที่ทำให้มีความได้เปรียบในการแข่งขันในระดับหนึ่ง  แม้ว่าจะไม่ถึงระดับแบบซุปเปอร์สต็อก

บริษัทอยู่ในอุตสาหกรรมที่เป็น “เมกาเทรนด์” เช่น อุตสาหกรรมเกี่ยวกับการรับทำโปรแกรมเขียนระบบงานต่าง ๆ  หรือให้บริการเช่นความปลอดภัยหรือการเก็บรักษาข้อมูลดิจิทัล  แต่ที่จริงแล้วก็ไม่ได้มีความสามารถในการขยายตัวหรือ “ผูกขาด” ธุรกิจอะไรเมื่อเทียบกับคู่แข่ง  หรือบริษัทอยู่ในอุตสาหกรรมและ/หรือเป็น ผู้นำ  ในอุตสาหกรรมเกี่ยวกับสุขภาพและความงาม  แต่ก็มีปัญหาแบบเดียวกันที่จะต้องแข่งขันและมีข้อจำกัดในการเติบโต  ซึ่งรวมถึงการที่ต้องมีบุคคลากรและสถานที่ที่ไม่ได้ขยายตัวได้ง่าย  หรือพูดง่าย ๆ  “Scalable”  ยาก

สรุปก็คือ  สิ่งที่ซุปเปอร์สต็อกเทียมขาดนั้น  มักจะอยู่ที่ว่าการเติบโตในระยะยาวมีข้อจำกัดมาก  เช่นเดียวกับความสามารถในการแข่งขันที่มักจะไม่แข็งแรงพอ  แต่การที่ในช่วงแรกที่เห็นการเติบโตค่อนข้างโดดเด่นนั้น  อาจจะมาจากสถานการณ์พิเศษที่ค่อนข้างเอื้ออำนวย  หรือการที่ผลประกอบการโดดเด่น  “หลังเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์” ก็ทำให้คนเชื่อได้ง่ายว่าบริษัทเป็น “สุดยอดกิจการ”    อย่างไรก็ตาม  ราคาหุ้นที่วิ่งขึ้นไปมากและค่า PE มักจะสูงลิ่ว  ก็ทำให้หุ้นไม่สามารถเป็นซุปเปอร์สต็อก  แต่กลายเป็นหุ้นซุปเปอร์สต็อกเทียมที่ทำให้หุ้นตกลงมาเป็นหายนะได้

หุ้นโกง  นี่คือหุ้นที่เจ้าของและ/หรือผู้บริหารตั้งใจโกงบริษัทและนักลงทุนที่เข้ามาเล่นหุ้น  หุ้นบางตัวนั้น เจ้าของและอาจจะรวมถึงนักลงทุนรายใหญ่หรือ “เซียน” วางแผนตั้งแต่แรกที่จะเข้ามาหาเงินในบริษัทและตลาดหุ้น  อาจจะโดยการเทคโอเวอร์บริษัทเป้าหมายด้วยวิธีการซื้อหุ้นทั้งหมดหรือแลกหุ้นซึ่งไม่ต้องใช้เงินสด  จากนั้นก็สร้างสตอรี่  ปั้นบริษัทให้เป็นหุ้นแบบเติบโตเทียม  สร้างกำไรโดยการแต่งบัญชี  ไซฟอนเงินจากกิจการโดยตรง  ซึ่งก็มักจะทำในบริษัทลูกโดยเฉพาะกิจการที่อยู่ในต่างประเทศ  เป็นการโกงเงินจากบริษัท  นอกจากนั้นก็ยัง  “โกงเงินจากนักลงทุนในตลาดหุ้น” โดยการสร้างราคาหุ้นและชวนนักลงทุนทั้งสถาบันและนักลงทุนส่วนบุคคลเข้าซื้อหุ้นที่ราคาแพงเพราะคิดว่าเป็นหุ้นเติบโต

การ “โกง” นั้น  ถ้าจะพูดแบบกว้างก็คือ  มักจะเป็น  องค์ประกอบสำคัญส่วนหนึ่งของหุ้นที่ “ดีสุดยอดก่อนจะถึงหายนะ”  เกือบทุกกลุ่ม  แต่ในกรณีแบบนี้จะเป็นการโกงแบบที่ “จับไม่ได้” และอาจจะเป็นการโกงที่ “ไม่รุนแรง” แบบ “กลุ่มหุ้นโกง”  ที่สุดท้ายจะถูกเปิดโปงและคนที่ทำอาจจะต้องโดนคดีอาญาแผ่นดิน  ตัวอย่างเช่น  ผู้บริหารหรือเจ้าของ “โกง” โดยการแต่งบัญชีที่ “ไม่ผิดกฎหมาย”  เช่น เปลี่ยนรายจ่ายบางอย่างให้เป็นรายการลงทุน  หรือเลื่อนสถานะลูกหนี้ที่ควรจะเป็นหนี้เสียและต้องตั้งสำรองออกไป  หรือบางทีก็ซื้อของจากบริษัทโดยตัวเองเพื่อสร้างรายได้และกำไรเทียม  เป็นต้น

แต่จะไม่เหมือนกับการโกงดื้อ ๆ  เพราะบริษัทก็จะพยายามเคลียร์ส่วนที่ “โกง” ไว้ในอนาคต  โดยอาจจะค่อย ๆ  เกลี่ยเงินรายได้และกำไรในอนาคตกลับคืนมาหลังจากที่หุ้น “หมดสภาพ”  เป็น “หุ้นสุดยอด” และกลายเป็น “หุ้นหายนะ” ไปแล้ว  ด้วยวิธีการนี้  คนที่ทำก็ “ลอยนวล” และรวยขึ้นอย่างเหลือเชื่อ  สิ่งที่เสียก็เป็นเพียงชื่อเสียงที่ครั้งหนึ่งนักลงทุนคิดว่าเป็นผู้บริหารที่ “สุดยอด” ในการสร้างผลงานของบริษัท

และนั่นก็นำมาสู่ “สัญญาณ” ของหุ้นสุดยอด…หายนะ

สุดท้ายที่จะพูดถึงนั่นก็คือ  ผู้บริหารมักจะเป็น “คนดัง” ที่ให้สัมภาษณ์และแถลงข่าวและผลงานถี่ยิบ  ไม่ว่าจะสำคัญหรือไม่  พวกเขาชอบที่จะคาดการณ์ผลประกอบการที่สดใสและการเติบโตสุดยอดที่จะตามมาในไม่ช้า  พวกเขามั่นใจว่ามูลค่าหุ้นของบริษัทจะโตขึ้นเป็นหลาย ๆ  เท่าในเวลาอาจจะแค่ 3-4 ปี ที่บริษัทจะมี Market Cap. เป็นหมื่นล้านบาทถ้าบริษัทยังเล็กมาก  แต่บ่อยครั้งสำหรับบริษัทระดับกลางที่จะมีมูลค่าเป็นแสนล้านบาท  หลายคนแสดงความมั่นใจโดยการซื้อหุ้นของบริษัทต่อเนื่องแม้ว่าราคาจะขึ้นสูงมากแล้ว

แต่ในขณะเดียวกันก็ขายหุ้นล็อตใหญ่ให้กับนักลงทุนรายใหญ่และสถาบันลงทุนที่กำลัง  “อิน” มากกับ “สตอรี่” ของบริษัทและราคาหุ้นที่วิ่งขึ้นต่อเนื่องและมีขนาดที่ใหญ่และสภาพคล่องในการซื้อขายที่เพียงพอสำหรับการลงทุน  แต่นั่นก็มักจะเป็นสัญญาณว่า  หุ้นจะไม่ขึ้นไปเร็วอีกต่อไป  และอาจจะกำลังตกลงมา  บางทีเป็นหายนะ