ทีเอ็มบีธนชาตเปิด 4 ความท้าทายโลกธุรกิจ

29 มี.ค. 2566 | 11:58 น.
อัปเดตล่าสุด :29 มี.ค. 2566 | 11:59 น.

ทีเอ็มบีธนชาตประกาศ พร้อมช่วยลูกค้าธุรกิจและเอสเอ็มอี ก้าวผ่าน 4 ความท้าทายของโลกธุรกิจ เดินหน้าหนุน ESG ตั้งเป้าปล่อยสินเชื่อสีเขียว-ฟ้า วงเงิน 50,000 ล้านบาทใน 5 ปี

นายศรัณย์ ภู่พัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารลูกค้าธุรกิจ ทีเอ็มบีธนชาต หรือ ทีทีบี (ttb) เปิดเผยว่า ทีเอ็มบีธนชาต สนับสนุนลูกค้าในด้านต่างๆ ผ่านการพัฒนาผลิตภัณฑ์และดิจิทัลโซลูชันที่ตอบโจทย์ลูกค้าธุรกิจและเอสเอ็มอีมาอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้คุณภาพสินเชื่อดีขึ้น เงินฝากจากบัญชีเพื่อทำธุรกรรมและค่าธรรมเนียม มีการเติบโตสูงขึ้นกว่า 10% และมีจำนวนลูกค้าธุรกิจที่มาใช้ดิจิทัลแบงก์กิ้ง มากขึ้นกว่า 54% ในปี 2565

นายศรัณย์ ภู่พัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารลูกค้าธุรกิจ ทีเอ็มบีธนชาต

อย่างไรก็ตาม ทีเอ็มบีธนชาตตระหนักว่า ผู้ประกอบการธุรกิจไม่ว่าขนาดใหญ่หรือเล็ก กำลังเผชิญอยู่ในโลกธุรกิจ ทำให้ธนาคารมุ่งเน้นการอยู่เคียงข้างและพร้อมสนับสนุนให้ลูกค้าธุรกิจและเอสเอ็มอี สามารถก้าวผ่านความท้าทาย 4 ด้าน ด้วยผลิตภัณฑ์ บริการ ดิจิทัลโซลูชัน และองค์ความรู้  ดังต่อไปนี้

  • ความท้าทายที่ 1 : กระแสความยั่งยืนที่กระทบต่อธุรกิจทั้งโลก (Impact of ESG)

ปัจจุบันทั่วโลกให้ความสำคัญกับภาวะสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนของโลก โดยพบว่า ความเสี่ยงที่คุกคามที่สุดที่ผู้เชี่ยวชาญทั่วโลกมองในอีก 10 ปีข้างหน้า คือ ความเสี่ยงเรื่องสิ่งแวดล้อม แม้แต่ผู้บริโภคและพนักงานทั่วโลกก็ต่างให้ความสำคัญกับเรื่อง ESG และพร้อมจะสนับสนุนสินค้าและอยากทำงานในบริษัทที่ยึดมั่นพันธกิจในเรื่อง ESG มากขึ้น

นอกจากนั้นยังพบว่าบริษัทที่ให้ความสำคัญในเรื่อง ESG มีการเติบโตได้ดีแม้ในช่วงโควิด-19 และมีความสามารถในการระดมทุนได้ต่ำกว่า บริษัทที่ไม่ได้มุ่งเน้นในเรื่องดังกล่าว

ทีเอ็มบีธนชาตเห็นว่า ลูกค้าธุรกิจขนาดใหญ่มีแนวโน้มที่จะลงทุนในเรื่อง ESG มากขึ้น จึงตั้งเป้าที่จะสนับสนุนสินเชื่อสีเขียวและสีฟ้า (Green and Blue Loan) ภายใน 5 ปี วงเงินกว่า 50,000 ล้านบาท 

นอกจากนั้นยังมีนโยบายที่จะส่งเสริมและสร้างแรงจูงใจให้กับธุรกิจที่สามารถบรรลุ KPI ของ ESG ได้รับอัตราดอกเบี้ยที่ลดลง ภายใต้ผลิตภัณฑ์ Sustainability Linked Loan และ Sustainability Linked Derivatives และในส่วนของลูกค้าเอสเอ็มอี มีแผนการให้ความรู้ความเข้าใจในเรื่องดังกล่าว พร้อมตั้งเป้าที่จะสนับสนุนสินเชื่อ วงเงินกว่า 30,000 ล้านบาท ภายใน 5 ปี ภายใต้ Transformation Loan Supply Chain Solutions และ Refinance Program

  • ความท้าทายที่ 2 : การปรับตัวของธุรกิจในยุคดิจิทัล (Digital Transformation)

ช่วง  2- 3 ปีที่ผ่านมาจะพบว่า มีเทคโนโลยีจำนวนมากที่ทำให้การดำเนินชีวิตและธุรกิจเปลี่ยนไป โดยเฉพาะช่วงโควิด-19 เป็นตัวเร่งให้เกิด Digital Adoption รวดเร็วมากขึ้น จากสถิติต่างๆ ที่ผ่านมาพบว่า ไทยเป็นประเทศที่มีการปรับตัวเรื่องเทคโนโลยีเป็นอันดับต้นๆ ของโลก ไม่ว่าจะเป็นการทำธุรกรรมโมบายแบงก์กิ้งเป็นอันดับหนึ่งของโลก ในปี 2564 อีกทั้งความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐานประเทศที่จะรองรับการทำธุรกรรมทางด้านดิจิทัล ไม่ว่าจะเป็น PromptPay  PromptBiz และการยืนยันตัวตนทางออนไลน์ 

นายศรัณย์ ภู่พัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารลูกค้าธุรกิจ ทีเอ็มบีธนชาต

ดังนั้นธุรกิจต้องปรับการดำเนินงานให้เป็นดิจิทัล เพื่อไม่ให้เสียโอกาสในการแข่งขัน ทีเอ็มบีธนชาตจึงพัฒนาการบริหารจัดการธุรกรรมการเงินด้วยโซลูชันครบวงจร (Cash Management Solutions) ที่ครอบคลุมและแตกต่าง รองรับการรับเงิน การจ่ายเงิน และการบริหารสภาพคล่อง ด้วยฟีเจอร์ที่โดดเด่นและตอบโจทย์ โดยสามารถจัดการทั้งเงินและเอกสารสู่ระบบดิจิทัลได้ทั้งหมด ซึ่งไม่ว่าจะเป็นผู้ซื้อหรือผู้ขาย ก็ต่างได้รับประโยชน์ทั้งในเรื่องของการลดเวลาและขั้นตอน ได้เงินเร็ว ตรวจสอบสถานะได้ ทำให้การบริหารสภาพคล่องได้ประโยชน์สูงสุด

  • ความท้าทายที่ 3 : สงครามการแย่งคน (Talent War)

ปัจจุบันหนึ่งในปัญหาที่ผู้ประกอบการธุรกิจประสบเป็นอย่างมาก คือการขาดแคลนพนักงานที่มีทักษะและความรู้ความสามารถ โดยเฉพาะผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ที่ต้องการรักษาพนักงานให้อยู่กับองค์กร ก็จะมีต้นทุนในการดูแลพนักงานที่สูง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสวัสดิการกลุ่ม การจ่ายเบี้ยประกัน และการจะลงทุนระบบ HR

ทีเอ็มบีธนชาต จึงได้พัฒนา โซลูชันบริการการจ่ายเงินเดือนและดูแลสวัสดิการพนักงานแบบครบวงจร (ttb payroll plus) ที่ครอบคลุมชีวิตทางการเงินที่ดีขึ้นของพนักงาน รวมถึง Digital HRM  ที่กำลังจะเปิดตัวในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ ที่จะช่วยให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีสามารถบริหารจัดการงานบุคคลได้อย่างครบวงจรตั้งแต่ บันทึกเวลาเข้าออกงาน ส่งใบลา และเบิกค่าใช้จ่ายเป็นต้น 

  • ความท้าทายที่ 4 : ความท้าทายของการค้าระหว่างประเทศ (International Trade Challenges)

จากสถานการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นทั่วโลกในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นการแบ่งขั้วทางการเมือง สงคราม การชะลอตัวของเศรษฐกิจ และอื่น ๆ จนนำไปสู่ความผันผวนที่สูงขึ้นอย่างมาก โดยเฉพาะสกุลเงินดอลลาร์ที่เป็นสกุลหลักในการค้าขายของไทยที่มากถึง 77.4%

ทีเอ็มบีธนชาต เข้าใจดีว่า ทุก 1% ของความผันผวนที่สูงขึ้น คือทุก 1% ของความเสี่ยงที่กำไรของผู้ประกอบธุรกิจจะลดลง จึงพัฒนาบริการและผลิตภัณฑ์ในการจัดการเรื่องความผันผวน ด้วยบริการ ttb local currency ที่จะช่วยลดความผันผวนจากอัตราแลกเปลี่ยนด้วยเครื่องมือบริหารความเสี่ยงสกุลเงินท้องถิ่นที่เป็นคู่ค้าหลักของประเทศไทย

นอกจากนั้นยังเพิ่มประสิทธิภาพการป้องกันความเสี่ยง ด้วย Pro Rata Forward สำหรับเงินสกุลท้องถิ่น โดยเฉพาะสกุลเงินหยวน ซึ่งถือเป็นธนาคารแรกและธนาคารเดียวที่ทำได้

ขณะเดียวกันยังได้ออกแบบผลิตภัณฑ์และบริการ ที่ทำให้ธุรกรรมการค้าระหว่างประเทศเป็นเรื่องที่ง่าย ไม่ว่าจะเป็น  ttb multi-currency account หรือบัญชีบริหารหลายสกุลเงิน  และยังมีบริการการเชื่อมต่อระบบของลูกค้ากับธนาคาร (Host to Host)  และมีออนไลน์แพลตฟอร์มที่รองรับการทำธุรกรรมการค้าระหว่างประเทศได้อย่างสะดวก ไม่ว่าจะเป็นการโอนเงิน การเปิด L/C หรือการเบิกใช้สินเชื่อ

“ธนาคารยังคงมีการให้องค์ความรู้เพื่อให้ตระหนักและเท่าทันการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นงานสัมมนา หรือการให้ความรู้ผ่านโซเชียลมีเดีย ผ่านโครงการ finbiz by ttb เพราะทีเอ็มบีธนชาต ตั้งใจจะสร้าง The Next REAL Change ให้ลูกค้าธุรกิจและเอสเอ็มอี สามารถเติบโตแบบยั่งยืนได้อย่างแท้จริง” นายศรัณย์กล่าว