วูบ 2% ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน ในระยะ 3 เดือนข้างหน้า

10 ม.ค. 2566 | 14:31 น.
อัปเดตล่าสุด :10 ม.ค. 2566 | 21:50 น.

ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนระยะ 3 เดือนข้างหน้าลดลง 2.1% สภาธุรกิจตลาดทุนไทย ชี้ลดลงจากเดือนก่อนหน้า โดยยังคงอยู่ในเกณฑ์ ร้อนแรง ปัจจัยท่องเที่ยวหนุน

นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย เปิดเผยถึง ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (ICI) ผลสำรวจในเดือนธันวาคม 2565 ว่า ดัชนี ICI ในอีก 3 เดือนข้างหน้า อยู่ที่ระดับ 121.75 ปรับตัวลดลง 2.1% จากเดือนก่อนหน้าโดยยังคงอยู่ในเกณฑ์ ร้อนแรง

 

โดยนักลงทุนยังคงมองว่าการฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยวจะเป็นปัจจัยหลักที่หนุนความเชื่อมั่น รองลงมาคือผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน และการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย

 

สำหรับปัจจัยที่อาจฉุดความเชื่อมั่น มาจากสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างประเทศ การประกาศจัดเก็บภาษีจากการขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ฯ และอัตราเงินเฟ้อ

 

ดัชนีความเชื่อมั่นรวมทุกกลุ่มนักลงทุน ยังคงอยู่ในเกณฑ์ร้อนแรง คาดช่วงดัชนี 120-159 ปรับตัวลง 2.1% จากเดือนก่อน มาอยู่ที่ระดับ 121.75

 

ดัชนีความเชื่อมั่นรายกลุ่มนักลงทุน โดยกลุ่มนักลงทุนบุคคลและกลุ่มนักลงทุนต่างประเทศ อยู่ในระดับร้อนแรง และกลุ่มบัญชีบริษัทหลักทรัพย์และกลุ่มสถาบันในประเทศอยู่ในเกณฑ์ทรงตัว
 

ภาพประกอบข่าว FETCO

 

  • หมวดธุรกิจที่น่าสนใจมากที่สุด คือ หมวดพาณิชย์
  • หมวดธุรกิจที่ไม่น่าสนใจมากที่สุด คือ หมวดเหล็กและผลิตภัณฑ์โลหะ 

 

กลุ่มนักลงทุนบุคคลปรับเพิ่มขึ้น 17.6% อยู่ที่ระดับ 128.38 ในขณะที่ความเชื่อมั่นนักลงทุนกลุ่มอื่นปรับตัวลดลง 

กลุ่มบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ปรับลดลง 40% อยู่ที่ระดับ 85.71 กลุ่มสถาบันในประเทศปรับลดลง 18.4% อยู่ที่ระดับ 105.56 

กลุ่มนักลงทุนต่างชาติปรับลดลง 10.7% อยู่ที่ระดับ 125.00
 

อย่างไรก็ตามช่วงเดือนธันวาคม 2565 ที่ผ่านมา SET Index อยู่เหนือแนว 1,600 จุด ตลอดทั้งเดือน ซึ่งปัจจัยหลักมาจากภาคการท่องเที่ยวในประเทศ และการกลับมาดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจตามปกติ

รวมถึงการเตรียมพร้อมรองรับการเปิดประเทศของจีน ที่ช่วยกระตุ้นทั้งภาคการท่องเที่ยวและการส่งออก 

 

ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2565 ตลาดหุ้นปิดที่ 1,668.66 จุด ปรับตัวเพิ่มขึ้น 2% จากเดือนก่อนหน้า

 

นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิในเดือนธันวาคม 2565 รวม 12,826 ล้านบาท

ตลอดทั้งปี 2565 ต่างชาติซื้อสุทธิรวมมูลค่า 196,886 ล้านบาท