TU ควัก 3 พันล้านบาท ซื้อหุ้น RBF เข้าถือ 10%

21 ก.ย. 2564 | 15:55 น.
อัปเดตล่าสุด :21 ก.ย. 2564 | 23:01 น.

TU เข้าซื้อหุ้น RBF สัดส่วน 10% มูลค่ารวมประมาณ 3,000 ล้านบาท หวังช่วยสร้างโอกาส และความเติบโตของบริษัทในธุรกิจส่วนผสมในอาหาร โบรกชี้รับผลเชิงบวกในระยะกลางถึงระยะยาว มองนวัตกรรมช่วยดีลเกิดภาวะ WIN-WIN ทั้งสองบริษัทในอนาคต

รายงานข่าวจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด(มหาชน) (TU) แจ้งว่า คณะกรรมการบริหาร (Executive Committee) ซึ่งได้รับมอบหมายจากคณะกรรมการบริษัท ได้อนุมัติการเข้าทำสัญญาซื้อหุ้น จำนวน 200 ล้านหุ้น คิดเป็น 10% ของหุ้นทั้งหมด/สิทธิออกเสียงใน บริษัท อาร์แอนด์บีฟู้ด ซัพพลาย จำกัด (มหาชน) (RBF) ทั้งนี้ คาดว่าจะช่วยสร้างโอกาสและความเติบโตของบริษัทในธุรกิจส่วนผสมในอาหาร โดยเฉพาะสำหรับตลาดผู้บริโภคในอาเซียนที่ต้องการสินค้าที่มีความซับซ้อนมากขึ้น อีกทั้งการเข้าลงทุนดังกล่าวจะช่วยเสริมธุรกิจทั้งในส่วนสินค้าหลักของบริษัท และผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ รวมถึงสินค้าโปรตีนทางเลือกและอาหารสัตว์เลี้ยงด้วย

 

ด้าน RBF แจ้งต่อตลท.ว่า ได้รับแจ้งจากผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ว่าในวันที่ 20 กันยายน 2564 จะมีการขายหุ้นRBF ผ่านระบบการซื้อขายของตลาดหลักทรัพย์บนกระดานรายใหญ่ (Big Lot Board) จำนวนรวม 200 ล้านหุ้น หรือคิดเป็น 10% โดยมีขนาดรายการประมาณ 3,000 ล้านบาท ซึ่งเกิดจากการขายหุ้น โดยนางเพ็ชรา รัตนภูมิภิญโญ และนายสมชาย รัตนภูมิภิญโญ ซึ่งการขายหุ้นในครั้งนี้เป็นการขายให้กับ TU มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อการเข้าเป็นพันธมิตรทางธุรกิจ (Partnership)

นอกจากนี้ ยังมีโอกาสทางธุรกิจในการร่วมพัฒนาและผลิตวัตถุดิบอาหาร เช่น วัตถุแต่งกลิ่นจากธรรมชาติให้กับธุรกิจภายใต้กลุ่มของ TU อีกทั้งเป็นโอกาสในการผลักดันและส่งเสริมแผนขยายธุรกิจของบริษัทในต่างประเทศ เพื่อสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่องและแข็งแกร่งในอนาคตของบริษัท โดย TU จะเสนอตัวแทนเข้ามาอยู่ในคณะกรรมการบริษัทเพื่อเสริมสร้างความร่วมมือในพันธมิตรทางธุรกิจ ทั้งนี้การขายหุ้นในครั้งนี้ไม่มีผลกระทบต่อโครงสร้างการบริหารจัดการ และนโยบายการดำเนินธุรกิจของบริษัทแต่อย่างใด

 

บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทิสโก้ จำกัด ระบุว่า TU เข้าซื้อ RBF 10% รวมมูลค่า 3,000 ล้านบาท หรือหุ้นละ15 บาท คิดเป็นส่วนลด 25% จากราคาปิดล่าสุดของ RBF สูงกว่าส่วนลดทั่วไปสำหรับข้อเสนอการลงทุนที่คล้ายกันที่ 10-15% เนื่องจาก RBF เล็งเห็นโอกาสสู่ตลาดต่างประเทศ และยอดขายที่คาดจะเพิ่มขึ้นจากการร่วมมือ ขณะเดียวกัน เป็นการลงทุนสัดส่วนต่ำ TU จะบันทึกเป็นรายได้จากเงินปันผล นอกจากนี้ จะสามารถเพิ่มผู้แทนในบอร์ดบริหารได้ในการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นครั้งต่อไป

ทั้งนี้ มองว่าจะมีผลเชิงบวกในระยะกลางถึงระยะยาว โดยจะออกมาในรูปผลิตภัณฑ์ใหม่ที่คาดจะเพิ่มยอดขายและอัตรากำไรสำหรับกลุ่มธุรกิจทั้งหมดของ TU โดยเฉพาะโปรตีนทางเลือก และผลิตภัณฑ์ดูแลสัตว์เลี้ยง สำหรับระยะสั้นคาดว่าจะมีดอกเบี้ยจ่ายประมาณ 90 ล้านบาทต่อปี จากข้อตกลงนี้ แต่คาดจะถูกชดเชยด้วยรายได้จากเงินปันผลที่คาดว่าจะได้รับประมาณ 30 ล้านบาท

 

ด้านบล.บัวหลวง มองว่า การซื้อหุ้น RBF 10% ในครั้งนี้ถือว่าเป็นการลงทุนระยะยาวที่จะสร้างผลประโยชน์ร่วม (synergy) ให้กับทั้ง TU และ RBF ซึ่งยังไม่สามารถคำนวณผลกระทบในเชิงตัวเลขจากsynergy ที่ TU จะได้รับจากความร่วมมือในครั้งนี้เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้นที่จะทำให้ผลิตภัณฑ์สินค้าใหม่ของ TU ประสบผลสำเร็จมากขึ้น ขณะที่ ภาระดอกเบี้ยจ่ายที่เพิ่มขึ้นอีก 100 ล้านบาทต่อปี จะเริ่มรับรู้เลยทันทีตั้งแต่ปลายเดือนกันยายนนี้ แต่ synergy และเงินปันผลรับจากการถือหุ้น 10% ใน RBF จะยังคงไม่เห็นจนกว่าจะถึงในปีหน้า คาดว่าจะเริ่มทยอยเห็นเข้ามาในอีก 1-2 ปีข้างหน้า 

 

บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส (ประเทศไทย) ระบุว่า คาด TU จะได้รับผลกระทบที่น้อยจากภาระดอกเบี้ยจ่ายที่เพิ่มขึ้นจากการกู้เพิ่มเพื่อนำเงินไปซื้อหุ้น RBF เพราะส่วนหนึ่งได้รับเงินปันผลจาก RBF ไปชดเชยดอกเบี้ยจ่าย อีกทั้งคาดว่าจะได้รับประโยชน์ในระยะกลางถึงยาวที่จะเกิด Synergy ระหว่างสองบริษัท ทั้งนี้ จะร่วมมือกันพัฒนาธุรกิจให้เติบโตขึ้นไปทั่วโลก ในการผลิตสินค้าที่มีคุณภาพ ทั้งด้านรสชาติและโภชนาการด้วยนวัตกรรมของทั้งสองบริษัท จึงคาดว่าจากดีลนี้จะทำให้เกิดภาวะ WIN-WIN สำหรับทั้งสองบริษัทในอนาคต