บิทคอยน์ ร่วง! เพราะจีนแบนจริงหรือ

30 มิ.ย. 2564 | 16:10 น.
585

บิทคอยน์ ร่วง! เพราะจีนแบนจริงหรือ : คอลัมน์ ยังอีโคโนมิสต์ โดย ปรมินทร์ อินโสม กรรมการและผู้ก่อตั้ง สตางค์ คอร์ปอเรชั่น

ข่าวการแบน บิทคอยน์ของรัฐบาลจีน ที่มีมาอย่างต่อเนื่อง ในรอบ 1 เดือนที่ผ่านมา ตั้งแต่การปราบปรามการขุดเหมืองบิทคอยน์ ด้วยคำสั่งปิดเหมืองที่ใช้พลังงานไฟฟ้าจากพลังงานน้ำ ณ มณฑลเสฉวน กว่า 26 แห่ง และคำสั่งหยุดทุกธุรกรรมของสถาบันการเงิน และ บริษัทที่ให้บริการชำระเงินที่เกี่ยวข้องกับ คริปโทของจีน ส่งผลให้มูลค่าการซื้อขาย และราคาของบิทคอยน์ร่วงลงไปต่ำกว่า 30,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ เมื่อวันที่ 23 มิถุนายนที่ผ่านมา  และทำให้ BTC China เว็บเทรดแห่งแรกของจีนต้องประกาศปิดตัวลง

 

อะไรคือเหตุผลที่รัฐบาลจีนแบนบิทคอยน์และคริปโท

ถึงแม้จะมีข้อมูลออกมาว่าการกวาดล้างเหมืองบิทคอยน์ของจีน มาจากเหตุผลเรื่องการใช้พลังงานอย่างมหาศาลที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม แต่นักวิเคราะห์หลายท่านให้ข้อสังเกตว่า จีนไม่ได้สนใจเรื่องพลังงานเป็นประเด็นหลักแต่อย่างใด การที่จีนแบนบิทคอยน์และคริปโท เพราะต้องการควบคุมปริมาณเงินและทิศทางการไหลของเงินในระบบเศรษฐกิจของประเทศได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด และไม่ต้องการให้ระบบใดๆ ก่อให้เกิดสิ่งที่รัฐบาลจีนควบคุมไม่ได้ทั้งหมดอย่างสิ้นเชิง 

 

สังเกตว่าการปราบปรามเหมืองขุด บิทคอยน์ในจีนนั้นได้กระทำมานานหลายปีแล้ว ไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้นในปี 2021เป็นปีแรกแต่อย่างใด  การปราบปรามในช่วงหลายปีที่ผ่านมา มีตั้งแต่การห้ามขุดโดยการห้ามปรามผ่านสื่อจนกระทั่งส่งเจ้าหน้าที่ไปจับกุมหรือดำเนินคดี อย่างไรก็ตามปี 2021 เป็นปีแรกของการการปราบปรามให้สิ้นซาก เพราะรัฐบาลจีนสั่งห้ามธนาคารพาณิชย์และแอปพลิเคชั่นที่เกี่ยวข้องดำเนินธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับคริปโททั้งหมด

 

สาเหตุของการปราบปรามให้สิ้นซากนั้นน่าจะมาจาก (1) นักลงทุนจีนทั้งรายเดิมหรือผู้เล่นรายใหม่นั้นได้กระโดดเข้ามาในวงการคริปโทมากขึ้น เนื่องจากราคาบิทคอยน์ที่สูงขึ้นมากเป็นประวัติการณ์ในปี 2021 (2) รัฐบาลจีนต้องการโปรโมต YuanDigital ในทุกทาง ดังนั้นการปราบปรามเหมืองขุดอย่างจริงจังให้สิ้นซากทั้งระบบนั้น จะทำให้คนจีนเกรงกลัวผลกระทบและหันไปใช้งาน YuanDigital มากขึ้น

จีนยังคงสนับสนุนบทบาทสินทรัพย์ดิจิทัลอยู่ แต่ต้องอยู่ในความควบคุมเบ็ดเสร็จ

นาย Zhou Xiaochuan ผู้ว่าการธนาคารกลางของจีน และรองผู้ว่าการธนาคารกลางคนปัจจุบัน Li Bo ได้ให้ความเห็นเกี่ยวกับบิทคอยน์ และสกุลเงินดิจิทัล ไว้ในงาน Boao Forum for Asia เมื่อวันที่ 18 เมษายนว่า "เราเชื่อว่าสินทรัพย์คริปโท ควรมีบทบาทสำคัญในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นเครื่องมือในการลงทุนหรือเป็นการลงทุนทางเลือกอื่น หลายประเทศรวมทั้งจีนกำลังศึกษาเรื่องนี้ในฐานะเครื่องมือการลงทุนด้วย"

 

รัฐบาลจีนมองว่า ทุกรายละเอียดของการใช้งานคริปโท จะต้องควบคุมและตรวจสอบได้ โดยไม่สนใจเรื่อง Privacy แต่อย่างใด ซึ่งต่างจากนโยบายของธนาคารกลางยุโรปในการทำเงิน Euro Digital ที่ต้องการเน้นเรื่อง Privacy ท่าทีของรัฐบาลจีนเป็นแบบใดให้สังเกตจากสองประเด็นหลักคือ

 

(1) ระเบียบการโอนเงินข้ามประเทศของจีนที่มีผลต่อคนทั่วไปในจีนนั้นยังคงห้ามโอนเงินเกิน 50,000 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อคนต่อปี ซึ่งรัฐบาลจีนใช้กฎเกณฑ์ที่เข้มงวดนี้มาตลอดหลายปีที่ผ่านมา

(2) เงิน YuanDigital นั้นยังไม่ให้ความสำคัญกับเรื่องการโอนข้ามประเทศ (Cross-Border Payment) และเรื่อง Privacy 

 

รัฐบาลจีนยังไม่เคยอนุญาตหรือทำการทดสอบโอนหรือใช้งานจริงของ YuanDigital ข้ามประเทศเลย มีแต่ทดสอบการใช้ภายในประเทศกับประชาชนรายย่อยของจีนเอง (หรืออาจขยายไปยังประเทศในเครือจีนเช่น hongkong หรือ Macao) เท่านั้น  ซึ่งประเด็นนี้ต่างกับธนาคารกลางยุโรป (ECB) ซึ่งเน้นการโอนเงินข้ามพรมแดน (Cross-Border Transfer) และยังใส่ใจเรื่องความเป็นส่วนตัว (Privacy) อย่างจริงจังด้วย

 

บิทคอยน์ และคริปโท มีความเสี่ยงต่อความมั่นคงทางการเงินของประเทศจริงหรือ

ประเด็นนี้อยู่ที่ว่า ความเสี่ยงต่อความมั่นคงทางการเงินของประเทศ ของรัฐบาลจีนหมายความว่าอย่างไร ถ้าความมั่นคงของประเทศหมายถึง การควบคุมและสอดส่องการใช้เงินของกิจกรรมทางเศรษฐกิจทั้งหมด บิทคอยน์ และคริปโทก็คงเป็นภัยต่อความมั่นคงของประเทศในความหมายแบบนี้แน่นอน 

 

เพราะการใช้บิทคอยน์ และคริปโทนั้นทำให้รัฐบาลจีนไม่สามารถควบคุมปริมาณเงินในระบบเศรษฐกิจ และไม่สามารถสอดส่องกิจกรรมการเงินของคนจีนได้ 100% เหมือนเงิน YuanDigital  ในขณะที่สหรัฐฯและยุโรปนั้นมีความยืดหยุ่นมากกว่า โดยจะเน้นการควบคุมและสอดส่อง กิจกรรมทางการเงินและคริปโทที่ผิดกฎหมายและร้ายแรงเท่านั้น ไม่ใช่สนใจไปทุกกิจกรรมแบบรัฐบาลจีน

 

ถึงแม้ว่าการแบนบิทคอยน์และคริปโทของจีน จะส่งผลให้ราคาของสินทรัพย์ดิจิทัลทั้งหมดร่วงต่ำลงในสัปดาห์ที่ผ่านมา นักวิเคราะห์ยังคงมองว่า ปัจจัยพื้นฐานของบิทคอยน์นั้นยังคงดีอยู่ และสภาวะตลาดในปัจจุบันนั้นไม่ได้มีเพียงนักเก็งกำไรและนักลงทุนรายย่อย แต่กลับเป็นกลุ่มนักลงทุนสถาบันและกองทุนที่ถือครองบิทคอยน์เป็นจำนวนมาก จากการลดเงินสด และเข้าซื้อบิทคอยน์ด้วยความกังวลเรื่อง Hyperinflation 

 

ซึ่งแตกต่างอย่างมากจากปี 2018  อย่างไรก็ตามการลงทุนในช่วงนี้นักลงทุนจะต้องบริหารความเสี่ยงให้ดี คัดเลือกเหรียญที่มีปัจจัยพื้นฐานมีอนาคต ที่จะให้ผลตอบแทนในระยะยาว และกระจายน้ำหนักระหว่างการลงทุนและการเก็งกำไร และที่สำคัญต้องเป็นเงินที่ยอมรับความสูญเสียได้

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง: