ไทยจ่อรื้อโครงสร้างภาษี วัดใจ “ทรัมป์’ แลกเบรกภาษีต่างตอบแทน

19 มี.ค. 2568 | 05:13 น.

กางแผนรับมือสหรัฐ ใช้ภาษีต่างตอบแทน แย้มพาณิชย์เตรียมต่อรอง เสนอรื้อโครงสร้างภาษีนำเข้า ซื้อเครื่องบิน ถั่วเหลือง อเมริกาเพิ่ม หอฯเผยพร้อมหงายไพ่ทุกใบเมื่อเจรจา

สงครามการค้าสหรัฐกับคู่ค้าทั่วโลก ที่อ้างเหตุผลเพื่อสร้างความเป็นธรรม และลดการขาดดุลการค้าของสหรัฐ ที่เริ่มลุกลามขยายวงของผลกระทบจากนโยบายการปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าของโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐยุค “ทรัมป์ 2.0” โดยล่าสุดสหรัฐเตรียมบังคับใช้นโยบายภาษีศุลกากรต่างตอบแทน หรือภาษีเท่าเทียมกับประเทศคู่ค้าทั่วโลกในวันที่ 2 เมษายน 2568 ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อไทยที่พึ่งพาสหรัฐเป็นตลาดส่งออกอันดับ 1 อย่างหลีกเลี่ยงได้

ไทยจ่อรื้อโครงสร้างภาษี วัดใจ “ทรัมป์’ แลกเบรกภาษีต่างตอบแทน

กางแผนไทยเตรียมถกสหรัฐ

แหล่งข่าวจากกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ”ว่า นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้สั่งการให้หน่วยงานของกระทรวงพาณิชย์เตรียมแผนรับมือสหรัฐที่จะมีการขึ้นภาษีศุลกากรตามมาตรการภาษีตอบโต้ ในวันที่ 2 เม.ย. 2568 โดยให้ประเมินความเสี่ยงทั้งหมดอย่างรอบด้าน พร้อมกับมาตรการรับมือหากสหรัฐฯปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าไทย รวมทั้งการปรับปรุงโครงสร้างภาษีสินค้านำเข้า และการซื้อสินค้าเพิ่มเติมจากสหรัฐฯ เช่น เครื่องบิน ถั่วเหลือง ข้าวโพด เพื่อลดการเกินดุลการค้าของไทยที่มีต่อสหรัฐฯ

ที่ผ่านมานายพิชัยได้นำแผนการรับมือการปรับขึ้นภาษีของทรัมป์หารือกับภาคเอกชนแล้ว และทุกฝ่ายก็เห็นด้วยกับแผนดังกล่าวแต่ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ เพราะต้องรอดูการประกาศของสหรัฐฯในวันที่ 2 เม.ย. 2568 ก่อนว่าจะมีผลกระทบกับไทยอย่างไร

พิชัย  นริพทะพันธุ์ รมว.พาณิชย์-สนั่น  อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทย

หอการค้าแย้มหมัดเด็ด

สอดคล้องกับ นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ที่เผยว่า การเก็บภาษีต่างตอบแทนในอัตราเดียวกับที่ประเทศอื่นเรียกเก็บจากสหรัฐ หรือที่เรียกว่าภาษีเท่าเทียมนั้นจะกระทบกับการส่งออกของไทย และการส่งออกของประเทศต่างๆ ที่ส่งออกไปสหรัฐมากน้อยแตกต่างกันไปตามอัตราภาษีที่ทั้งสองฝ่ายเรียกเก็บต่อกัน

ทั้งนี้เพื่อลดผลกระทบ ล่าสุดรัฐบาลโดยกระทรวงพาณิชย์ได้มีหารือและวางแผนร่วมกับภาคเอกชนในการเจรจาเชิงรุกเพื่อต่อรองผลประโยชน์กับสหรัฐให้เป็นที่พอใจ และมีผลในการลดการขาดดุลการค้าของสหรัฐที่มีต่อไทยเอาไว้แล้ว

โดยแนวทางการส่วนหนึ่งคือ การเพิ่มการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐในหมวดวัตถุดิบอาหารสัตว์ พืชและผลิตภัณธ์จากพืช เป็นต้น ซึ่งในรายละเอียดของแผนทั้งหมดยังไม่สามารถเปิดเผยได้ในเวลานี้ แต่จะมีการเปิดเผยในรายละเอียดหรือมีการหงายไพ่ทั้งหมดของไทย ต่อเมื่อมีการนัดหมายและเข้าไปเจรจากับทางสหรัฐที่อยู่ระหว่างการประสานงานเรื่องวัน เวลาแล้ว

“ตอนนี้เราไม่ควรจะยื่นในลักษณะเปิดไพ่ให้เขาทราบก่อน แต่ได้มีการหารือระหว่างภาครัฐ และเอกชนไทยแล้วว่าอันไหนเรารับได้ ไม่ได้ อย่างไร เหมือนเป็นการเก็งข้อสอบเขาเหมือนกัน”

แนะศึกษา 3 กลุ่มเจรจาต่อรองมะกัน

นายชัยชาญ เจริญสุข ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) กล่าวว่า การเตรียมบังคับใช้นโยบายภาษีศุลกากรต่างตอบแทนของสหรัฐกับคู่ค้าทั่วโลก และเปิดช่องให้มีการเจรจาต่อรองถือเป็นพัฒนาการจากเทรดวอร์เป็นเทรดดีล ซึ่งแต่ละประเทศจะได้รับผลกระทบมากน้อยแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับการเจรจา ในเรื่องนี้ไทยควรต้องศึกษาผลการเจรจาหรือวิธีการเจรจาของประเทศต่างๆ กับสหรัฐเพื่อนำมาประยุกต์ใช้ในการเจรจาต่อรองระหว่างไทย-สหรัฐ

  • โดยแบ่งเป็น 3 กลุ่มคือ

กลุ่มแรก ประเทศที่สหรัฐขึ้นภาษีและมีผลบังคับใช้แล้ว ได้แก่ จีน เม็กซิโก และแคนาดา

กลุ่มที่สอง ประเทศที่กำลังมีการเจรจากับสหรัฐ เช่น สหภาพยุโรป (อียู) และอินเดีย

กลุ่มที่สาม ประเทศในภูมิภาคอาเซียนที่ยังไม่ถูกขึ้นภาษี โดยให้เข้าไปดูว่าเขามีท่าทีและมีแนวทางในการเจรจาต่องรองกับสหรัฐอย่างไร เพื่อนำมาประยุกต์สำหรับไทย

ชัยชาญ เจริญสุข ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย

อย่างไรก็ดี ในเบื้องต้นการขึ้นภาษีเท่าเทียมของสหรัฐจะส่งผลกระทบกับการส่งออกของไทยไปสหรัฐอย่างแน่นอน เฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มสินค้าส่งออก 10 อันดับแรกของไทยไปสหรัฐ เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้า และอิเล็กทรอนิกส์ ผลิตภัณฑ์ยาง อัญมณีและเครื่องประดับ รถยนต์ เป็นต้น เนื่องจากสินค้าเหล่านี้ไทยเก็บภาษีนำเข้าสูงกว่าที่สหรัฐเก็บภาษีนำเข้าจากไทย

“สินค้าที่ไทยถูกสหรัฐขึ้นภาษี 25% ไปแล้วก่อนหน้านี้ คือสินค้าเหล็ก (ขึ้นไปเมื่อปี 2561) ซึ่งล่าสุดสหรัฐประกาศขึ้นภาษีสินค้าเหล็ก และอลูมิเนียมจากทุกประเทศในอัตรา 25% มีผลตั้งแต่วันที่ 12 มีนาคม 2568 จึงกระทบทางตรงต่อการส่งออกสินค้าเหล็กของไทยไปสหรัฐไม่มาก

แต่ผลกระทบทางอ้อมจะมีมากขึ้นจากสินค้าเหล็กจีน และเหล็กจากประเทศต่างๆ ที่ไปสหรัฐได้ลดลงจะทะลักมาไทยเพิ่มขึ้น ซึ่งประเทศไทยน่าจะศึกษาการใช้มาตรการกำกับดูแลการนำเข้าเหล็กของประเทศต่างๆ เช่น เวียดนาม ไต้หวัน อินเดียว่าเขาทำอย่างไรถึงได้ผล เพื่อปกป้องอุตสาหกรรมเหล็กภายในของไทย”

ขึ้นราคาผลักภาระผู้บริโภค

นายประมุข เจิดพงศาธร ประธานกรรมการบริหาร กลุ่มบริษัท PJUS GROUP ผู้จัดหาและนำเข้าสินค้าอาหารไทยป้อนให้กับตัวแทนจำหน่าย รวมถึงห้างสรรพสินค้า และซูเปอร์มาร์เก็ตชั้นนำในสหรัฐ กล่าวว่า ทางกลุ่มยังเฝ้าติดตามการบังคับใช้นโยบายภาษีศุลกากรต่างตอบแทนของสหรัฐในครั้งนี้ ว่าไทยจะสามารถเจรจาต่อรองได้มากน้อยเพียงใด และจะมีผลทำให้ราคาสินค้านำเข้าจากไทยไปจำหน่ายในสหรัฐมีต้นทุนที่สูงขึ้นหรือไม่ อย่างไร หากมีต้นทุนที่สูงขึ้นจากภาษีทางกลุ่มก็จะขอปรับราคาสินค้า และผลักภาระไปยังผู้บริโภค

ประมุข เจิดพงศาธร ประธานกรรมการบริหาร กลุ่มบริษัท PJUS GROUP

“สินค้าที่เราจะรุกหนักในปีนี้ในตลาดสหรัฐคือ ข้าวหอมมะลิ และผลไม้อบแห้ง ในแบรนด์ QUEEN ELEPHANT ที่สร้างขึ้นมาเอง และกำลังติดตลาดในสหรัฐ ซึ่งเราได้ร่วมกับสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ นครลอสแอนเจลิส จัดโปรโมตสินค้าต่อเนื่อง”

ส่งออก SMEs 2.6 แสนล้านระส่ำ

ด้าน นายแสงชัย ธีรกุลวาณิช ประธานยุทธศาสตร์ สมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย เผยว่า ในปี 2567 เอสเอ็มอีไทยมีสัดส่วนการส่งออกทางตรงไปยังสหรัฐฯ 14% หรือคิดเป็นมูลค่า 267,461 ล้านบาท และนำเข้าจากสหรัฐฯ 14% หรือคิดเป็นมูลค่า 91,026 ล้านบาท แต่ยังมีเอสเอ็มอีอีกจำนวนมากที่เป็นซัพพลายเชนให้กับผู้ส่งออกรายใหญ่ ซึ่งอาจได้รับผลกระทบจากนโยบายภาษีของสหรัฐฯ เช่นกัน

แสงชัย ธีรกุลวาณิช ประธานยุทธศาสตร์ สมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย

“ไทยต้องถอดบทเรียนจาก “ทรัมป์ 1.0” ที่มีการตั้งกำแพงภาษีสินค้าไทยหลายรายการ และเตรียมพร้อมรับมือกับการตอบโต้ที่ไม่ใช่ภาษี เพื่อลดผลกระทบต่อผู้ประกอบการและแรงงานไทย สถานการณ์นี้อาจเป็นโอกาสให้ไทยสร้างฐานการผลิตทดแทนจีน โดยเน้นอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพ เช่น พลังงานสะอาด เทคโนโลยีการแพทย์ เกษตรแปรรูป ท่องเที่ยว และ Soft Power”

ความท้าทายไทยปรับตัว

สิ่งสำคัญคือการป้องกันการใช้ไทยเป็นทางผ่านที่ไร้ผลประโยชน์ และดึงดูดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ที่สร้างผลกระทบเชิงบวกต่อเศรษฐกิจไทยอย่างแท้จริงซึ่งบทเรียนจากสงครามการค้าไทยต้องเรียนรู้กลยุทธ์การเจรจาต่อรองทางการค้า และสร้างขีดความสามารถในการแข่งขัน แต่ต้องไม่สุดโต่งจนเกิดความขัดแย้งระหว่างประเทศ

ทั้งนี้แม้สหรัฐจะยังเป็นตลาดส่งออกสำคัญของไทย แต่ไทยควรกระจายความเสี่ยงไปยังตลาดอื่นๆ เช่น BRICS, RCEP อาเซียน และตะวันออกกลาง รวมถึงเร่งเจรจาเพื่อจัดทำความตกลงการค้าเสรี (FTA)ในกรอบต่างๆ เพื่อเพิ่มตลาด และเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน อย่างไรก็ดีการเปลี่ยนแปลงนโยบายการค้าของสหรัฐฯ เป็นความท้าทายที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่อีกด้านหนึ่งก็เป็นโอกาสให้ไทยปรับตัวในการพัฒนา และสร้างความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจในระยะยาว

ผวา “เหล็ก”ทุกชาติเลี้ยวเข้าไทย

นายพรนริศ ชวนไชยสิทธิ์ นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย กล่าวว่า ภาษีเท่าเทียมของสหรัฐไทยจะได้รับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะวัสดุก่อสร้าง เหล็ก ของหลายประเทศเมื่อเข้าสหรัฐยากขึ้นจากกำแพงภาษี มีโอกาสจะถูกส่งมาไทยเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะเหล็กจีน ที่จะส่งผลกระทบต่อผู้ผลิตในประเทศ ทำให้มีการใช้กำลังการผลิตลดลง และจะมีปัญหาการแข่งขันด้านราคา

“ที่เป็นปัญหาใหญ่ เหล็กจีนจะวิ่งไปอเมริกาไม่ได้แล้ว เพราะภาษีจะสูง วัสดุก่อสร้างทุกรายการจะโดนเก็บภาษี และจะเลี้ยวมาไทยเพิ่มขึ้นอย่างเลี่ยงไม่ได้ จากเวลานี้ก็แย่อยู่แล้ว และพบว่ามีหลายโรงเหล็กในไทยเริ่มปิดกิจการ ขณะที่ตั้งข้อสังเกตว่า เมื่อไทยได้รับผลกระทบจากกำแพงภาษี และจีนอาจได้รับผลกระทบจากภาษีไม่มาก โอกาสจีนจะขยายฐานการผลิตมาไทยอาจไม่มากตามที่คาดการณ์ก็เป็นได้”

เปรียบสหรัฐตั้งโต๊ะเจรจาการค้าใหม่

นายวิชัย เบญจรงคกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ และประธานบริหาร กลุ่มเบญจจินดา กล่าวว่า การปรับขึ้นภาษีศุลกากรต่างตอบแทนของสหรัฐในวันที่ 2 เมษายน นโยบายแบบนี้ คือ การตั้งโต๊ะเพื่อเจรจาการค้าใหม่ ของสหรัฐ เพราะถ้าจะรอใช้เวที WTO และ APEC ฯลฯ จะต้องเสียเวลานาน เนื่องจากขั้นตอนที่มาก

อย่างไรก็ตามมาตรการดังกล่าว คาดมีจะผลกระทบทางด้านการค้าและจิตวิทยาเป็นระยะเวลาประมาณ 6-12 เดือน เมื่อประเทศไทยปรับตัวได้ ก็น่าจะเดินหน้าต่อ ซึ่งในแง่การค้าเราคงต้องปรับปรุงเพื่อขายของให้ได้ และซื้อเท่าที่จำเป็น