สหรัฐฯ ส่งสัญญาณชัด จัดระเบียบการค้าโลกใหม่ ผ่านภาษีทรัมป์

17 มี.ค. 2568 | 07:48 น.
อัปเดตล่าสุด :17 มี.ค. 2568 | 08:14 น.
1.1 k

จับตา รัฐบาลทรัมป์ เตรียมบังคับใช้นโยบายภาษีศุลกากรต่างตอบแทนกับประเทศคู่ค้าทั่วโลก วันที่ 2 เมษายนนี้ ก่อนเริ่มเจรจาข้อตกลงทวิภาคีใหม่

มาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ส่งสัญญาณจัดระเบียบการค้าระหว่างสหรัฐฯกับประเทศต่างๆทั่วโลกใหม่ ภายหลังประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ เรียกเก็บภาษีศุลกากรต่างตอบแทน (Reciprocal Tariffs) ในวันที่ 2 เมษายนนี้ โดยจะเก็บภาษีในอัตราเดียวกับที่ประเทศอื่นเรียกเก็บจากสหรัฐฯ เพื่อสร้างความเป็นธรรมทางการค้า

มาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ(ภาพจากรอยเตอร์)

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ สหรัฐฯ  กล่าวในรายการ "Face the Nation" ของสถานีโทรทัศน์ CBS เมื่อวันอาทิตย์ว่า นโยบายนี้เป็นการปรับเปลี่ยนสถานะทางการค้าของสหรัฐฯ กับทุกประเทศพร้อมกัน ไม่ได้มุ่งเป้าเฉพาะประเทศใดประเทศหนึ่ง

"นี่เป็นเรื่องระดับโลก ไม่ได้เป็นการต่อต้านแคนาดา ไม่ได้เป็นการต่อต้านเม็กซิโก ไม่ได้เป็นการต่อต้านสหภาพยุโรป แต่เป็นทุกประเทศ" รูบิโอกล่าว "และจากพื้นฐานใหม่ของความยุติธรรมและความเท่าเทียมกันนั้น เราจะเริ่มการเจรจาทวิภาคีกับประเทศต่างๆ ทั่วโลกเกี่ยวกับข้อตกลงทางการค้าใหม่ที่มีความเหมาะสมสำหรับทั้งสองฝ่าย"

รูบิโอยืนยันว่า "สิ่งที่เรามีอยู่ในตอนนี้ไม่สามารถดำเนินต่อไปได้" แต่ยังไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดว่าข้อตกลงทางการค้าใหม่ที่สหรัฐฯ ต้องการจะมีลักษณะอย่างไร

ความเคลื่อนไหวนี้สอดคล้องกับสุนทรพจน์ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ที่ประกาศว่าสหรัฐฯ จะเริ่มใช้ "ภาษีศุลกากรต่างตอบแทน" (Reciprocal Tariffs) ในวันที่ 2 เมษายนนี้ โดยจะเรียกเก็บภาษีในอัตราเท่ากับที่ประเทศอื่นเรียกเก็บจากสินค้าสหรัฐฯ

"ประเทศอื่นๆ ใช้ภาษีศุลกากรกับเรามานานหลายทศวรรษแล้ว และตอนนี้ถึงคราวของเราแล้วที่จะเริ่มต้นใช้ภาษีศุลกากรกับประเทศอื่นๆ" ประธานาธิบดีทรัมป์กล่าว

ล่าสุด ประธานาธิบดีทรัมป์ขู่ว่าจะเรียกเก็บภาษีในอัตรา 200% สำหรับการนำเข้าไวน์ คอนญัก และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อื่นๆ จากยุโรป ซึ่งเป็นการเปิดแนวรบใหม่ในสงครามการค้าระดับโลกที่สร้างความปั่นป่วนในตลาดการเงินและก่อให้เกิดความกังวลเรื่องเศรษฐกิจถดถอย

แม้รัฐบาลทรัมป์จะเชื่อว่าการเก็บภาษีศุลกากรจะช่วยลดการขาดดุลการค้าของสหรัฐฯ แต่นักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยกับแนวคิดนี้ โดยชี้ว่าการขาดดุลการค้าไม่ได้หมายถึงการขาดทุน และในบางกรณีอาจสะท้อนถึงเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง

ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าการเก็บภาษีศุลกากรอาจไม่ช่วยลดช่องว่างทางการค้า และหากสามารถลดการขาดดุลการค้าได้จริง ก็อาจบ่งชี้ถึงการลดลงของอำนาจซื้อของสหรัฐฯ มากกว่า

ปัจจุบัน ระบบการค้าโลกดำเนินการภายใต้กรอบพหุภาคี (Multilateral System) โดยมีองค์การการค้าโลก (World Trade Organization หรือ WTO) เป็นองค์กรหลักในการกำกับดูแล WTO ก่อตั้งขึ้นในปี 1995 เพื่อเป็นเวทีสำหรับการเจรจาข้อตกลงการค้าระหว่างประเทศและเป็นกลไกระงับข้อพิพาททางการค้า 

ภายใต้ระบบนี้ การเจรจาการค้าดำเนินการผ่านรอบการเจรจาพหุภาคีที่รวมประเทศสมาชิกทั้งหมด ปัจจุบัน WTO มีสมาชิก 164 ประเทศ ครอบคลุมกว่า 98% ของการค้าโลก กลไกระงับข้อพิพาทของ WTO เปิดโอกาสให้ประเทศสมาชิกยื่นข้อร้องเรียนหากมีการละเมิดข้อตกลง และองค์กรอุทธรณ์ของ WTO ทำหน้าที่พิจารณาคำตัดสินในกรณีที่มีการอุทธรณ์

อย่างไรก็ตาม ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ระบบการค้าพหุภาคีของ WTO เผชิญความท้าทายหลายประการ เช่น การหยุดชะงักของการเจรจารอบโดฮา ความล่าช้าในการปรับปรุงกฎระเบียบให้ทันสมัย และการที่สหรัฐฯ ได้ขัดขวางการแต่งตั้งผู้พิพากษาใหม่ในคณะกรรมการอุทธรณ์ จนทำให้ระบบระงับข้อพิพาทของ WTO เกิดภาวะชะงักงัน

ดร.ศุภชัย พานิชภักดิ์ อดีตผู้อำนวยการใหญ่องค์การการค้าโลก (WTO)  ให้สัมภาษณ์พิเศษกับฐานเศรษฐกิจ มองผลกระทบจากนโยบายการขึ้นภาษีของสหรัฐอเมริกาต่อประเทศคู่ค้าทั่วโลกว่านโยบายดังกล่าวกำลังส่งผลย้อนกลับให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ เองเริ่มเข้าสู่ภาวะถดถอย แม้ว่าในช่วงสองปีที่ผ่านมาเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะมีความแข็งแกร่งก็ตาม

“การที่สหรัฐฯ ขึ้นภาษีกับประเทศต่างๆ กำลังทำให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ ถดถอย และสิ่งที่น่ากังวลยิ่งกว่าคือ การตอบโต้ทางการค้าระหว่างประเทศกำลังทำให้สหรัฐฯ ได้รับผลกระทบที่สั่นสะเทือนมากขึ้น” ดร.ศุภชัย กล่าว

ผลกระทบจากสงครามการค้าไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่สหรัฐฯ เท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อระบบการค้าโลกโดยรวม เมื่อประเทศที่ถูกสหรัฐฯ ขึ้นภาษีต่างหันไปขยายตลาดนอกสหรัฐฯ ทดแทน ทำให้สัดส่วนการค้าของสหรัฐฯ ในระบบการค้าโลกลดลง และในที่สุดปริมาณการค้าโลกทั้งหมดก็จะหดตัวตามไปด้วย

“ถ้าอเมริกาไม่ดี โลกก็ไม่ดี” คือการแข่งขันระหว่างมหาอำนาจไม่ใช่เกมที่มีผลรวมเป็นศูนย์ (Zero-sum Game) แต่เป็นเกมที่ทุกฝ่ายสามารถได้ประโยชน์ร่วมกันได้ หากมีความร่วมมือที่ดี...วิธีคิดของทรัมป์กับทีมเศรษฐกิจของท่านที่คิดว่าจะทำอเมริกายิ่งใหญ่คนเดียว มันเป็นไปไม่ได้ในโลกนี้ ในระเบียบโลกใหม่”

ต้องจับตาดูว่า แนวทางใหม่ที่สหรัฐฯ กำลังผลักดันภายใต้การนำของประธานาธิบดีทรัมป์ในวาระที่ 2 มุ่งเน้นข้อตกลงทวิภาคี (Bilateral Agreements) แทนการเจรจาพหุภาคี จะส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญต่อระเบียบการค้าโลกที่ดำเนินมากว่าสองทศวรรษอย่างไร