รับซื้อหนี้ประชาชน เอกชนหวั่นก่อปัญหาลุกลาม หยุดจ่ายหนี้

19 มี.ค. 2568 | 16:51 น.
อัปเดตล่าสุด :19 มี.ค. 2568 | 17:59 น.

เอกชนเสียงแตก แนวคิดซื้อหนี้ประชาชน หวั่นก่อปัญหาลุกลาม เหตุหยุดจ่ายหนี้ รอทางการช่วย ด้านไชโยขานรับไอเดีย หวังประเทศเดินหน้า เสนอรัฐขอซอฟต์โลน 1.2-1.5 แสนล้านบาท

หลังจากที่อดีตนายกรัฐมนตรี นายทักษิณ ชินวัตรลงพื้นที่ในจังหวัดพิษณุโลกและกล่าวบนเวทีตอนหนึ่งว่า เมื่อวันพฤหัสที่ผ่านมา คิดกับนายกอิ๊งค์ดังๆว่า ทำไงที่จะให้หนี้สินของคนไทยหมดไปได้ เพราะวันนี้หนี้สินครัวเรือนเยอะเหลือเกิน

เราก็คิดดังๆว่า เราจะซื้อหนี้ทั้งหมดของประชาชนออกมาจากระบบธนาคารดีไหม? แล้วให้ประชาชนค่อยๆ ผ่อน ไม่ต้องชำระเต็มจำนวน แล้วก็ให้เริ่มต้นชีวิตใหม่ ยกออกจากเครดิตบูโรให้หมด ให้เป็นคนบริสุทธิ์ผุดผ่อง ทำมาหากินใหม่ 

“สิ่งเหล่านี้ไม่ต้องใช้เงินรัฐสักบาทหนึ่ง เพราะว่า ผมสามารถที่จะให้เอกชนลงทุน วันนี้รัฐเป็นหนี้เยอะ เราเข้ามาหนี้ก็บานตะไทแล้ว วันนี้จะขยับอะไรที ก็เป็นหนี้ไปหมด เราต้องสร้างหนี้ให้น้อยที่สุดแล้วและก็สร้างโอกาสให้คนไทยมากที่สุด พูดง่ายแต่ทำยาก แต่ต้องทำ”
 

ล่าสุดหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) นายพิชัย ชุณหวิชร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเปิดเผยว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องของการปรับโครงสร้างหนี้ ซึ่งมีทั้งการเจรจายืดหนี้และลดดอกเบี้ยให้สามารถอยู่ต่อไปได้ ซึ่งที่ผ่านมาเราก็ทำในเรื่องแบบนี้ แต่เมื่อทำไประยะหนึ่ง การดำเนินต่อไปอาจไม่คุ้ม

นายพิชัย ชุณหวิชร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง

“บางคนไม่สามารถที่จะทำได้ มีเงื่อนไขมาก หรือว่า บางคนอาจจะติดเงื่อนไข เพราะมีหนี้อยู่หลายสถาบันการเงิน ก็ต้องหาแนวทางที่จะแก้หนี้แบบใหม่ ขณะที่การปล่อยสินเชื่อต่างๆ ของสถาบันการเงินก็จะดำเนินการต่อไป” 

แนวทางนี้ก็คือ การแก้ปัญหาแบบที่เคยเกิดขึ้นสมัยหลังวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 ที่ต้องแยกบัญชีระหว่างหนี้ที่ดีและหนี้เสียออกมาดำเนินการในลักษณะแบบนี้ โดยอาจจะมีการตั้งหน่วยบริหารหนี้ด้อยคุณภาพในลักษณะแบบนี้ ซึ่งต้องทำร่วมกับสถาบันการเงิน เพราะสถาบันการเงินเป็นเจ้าของหนี้

ขณะเดียวกันก็ต้องทำร่วมกันกับรัฐ เพราะรัฐจะเป็นคนช่วยในการบริหาร รวมทั้งอาจจะมีเอกชนบางส่วนที่มีความสนใจจะเข้ามาบริหารในส่วนนี้ด้วย 

“วิธีคิดคือ เอาออกมาดูเลย แยกออกมาดูว่าจะทำยังไง ซึ่งก็ต้องใช้เวลาในการเคลียร์กันนาน แต่ก็เคลียร์กันอยู่นอกธนาคารแล้ว เรื่องพวกนี้ผมคิดอยู่หมดแล้วว่า มันมีกี่วิธี ก็ต้องดูว่า วิธีไหนจะเริ่มก่อนหลัง”นายพิชัยกล่าว 

เมื่อถามว่ามีความเป็นไปได้ใช่หรือไม่ในการที่จะแก้หนี้แบบนี้ นายวิชัยกล่าวว่า ก็ต้องดูข้อมูลทั้งหมดและจะได้รับความฟังความคิดเห็นจากหลายหลายฝ่าย ซึ่งจะหารือกับสมาคมธนาคารไทยในเรื่องดังกล่าวด้วย ส่วนจะใช้เงินงบประมาณหรือไม่ ยังไม่ทราบต้องขอดูในรายละเอียดก่อน ซึ่งคงแล้วแต่เงื่อนไข 

ส่วนจะดำเนินการเฉพาะหนี้เสียหรือหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้(NPL) หรือไม่นายพิชัยกล่าวว่า หนี้ดีๆ จะเอาเข้ามาทำไม  ซึ่งยอดหนี้เสียที่มีตอนนี้ประมาณพันกว่าล้านบาท ส่วนจะเป็นหนี้ประเภทไหน หนี้บ้าน หนี้รถ หนี้ส่วนบุคคลนั้น ต้องขอดูรายละเอียดก่อน 

รับซื้อหนี้ประชาชน เอกชนหวั่นก่อปัญหาลุกลาม หยุดจ่ายหนี้

แหล่งข่าวจากบริษัทบริหารสินทรัพย์รายหนึ่งเปิดเผย “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า การเรียกเก็บหนี้ “ฝืด” ขึ้น ตั้งแต่รัฐบาลนี้เข้าบริหารประเทศ ซึ่งเป็นผลพวงจากที่รัฐบาประกาศจะล้างหนี้ พักหนี้ให้ประชาชน ทำให้บริษัทบริหารสินทรัพย์หรือ AMC  ประสบปัญหาลูกหนี้เลือกที่จะไม่ชำระหนี้ที่มี หรือ ลูกหนี้ชะลอการจ่ายหนี้ เพราะคาดหวังว่า รัฐบาลจะเข้ามาล้างหนี้ให้ ทำให้ความกังวลของ AMC และสถาบันการเงินเจ้าหนี้อยู่แล้วในปัจจุบัน 

ดังนั้นเมื่ออดีตนายกทักษิณ ออกไอเดียดังๆ บนเวทีสาธารณะ ก็ยิ่งทำให้ลูกหนี้ ซึ่งเดิมอาจจะเข้าเงื่อนไขของมาตรการธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) หรือในส่วนของลูกหนี้ที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน(นอนแบงก์) เลือกที่จะชะลอหรือไม่ชำระหนี้ เพื่อรอดูว่า ตนเองจะเข้าข่ายได้รับการล้างหนี้ตามที่รัฐบาลจะมีประกาศออกมาหรือไม่ 

เพราะฉะนั้น การที่อดีตนายก ออกมาคิดดังๆ จึงจะยิ่งตอกย้ำให้ปัญหาหนี้ลุกลามมากขึ้น เพราะการสื่อสารล่วงหน้าในการลดหนี้ หรือตัวอย่างที่เห็นในระบบ แค่รัฐบอกจะลดค่าครองชีพ ทางพ่อค้านายทุนต่างปรับราคาสินต้าไปก่อนหน้าแล้ว เฉกเช่นเดียวกันกับการคิดดังๆว่าจะให้เอกชนลงทุนซื้อหนี้ออกจากระบบธนาคารยิ่งจะทำให้ปัญหาหนี้ลุกลามหรือไม่   

นายสุขสันต์ ยศะสินธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ชโย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)หรือ CHAYO กล่าวกับ “ฐานเศรษฐกิจ”ว่า ในมุมมองของบริษัทบริหารจัดการหนี้เสีย ส่วนตัวเห็นด้วยกับแนวคิดรับซื้อหนี้เสียออกจากระบบธนาคาร เพราะประชาชนเป็นหนี้จำนวนมาก ความสามารถในการจ่ายคืนหนี้น้อย

นายสุขสันต์ ยศะสินธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ชโย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)

บวกกับทิศทางดอกเบี้ยที่กำลังสู่ “ขาลง” การแก้ปัญหาหนี้น่าจะเอื้อต่อการลดหนี้ แก้ไขหนี้และช่วยประเทศฟื้นได้ ไม่ใช่เดินไปทางไหนก็มีแต่หนี้ 

 

“การแก้หนี้ให้ประชาชน จะทำให้ประชาชนมีศักดิ์ศรีเท่าเทียม ไม่ใช่คนไม่มีหนี้เดินไปที่แบงก์ก็ยินดีต้อนรับ แต่คนที่มีหนี้เดินไปแบงก์ไหนก็ไม่ต้อนรับ” นายสุขสันต์กล่าว


วิธีการนั้น สมมุติหนี้เสียกว่า 5 แสนล้านบาท (แบ่งเป็นหนี้มีหลักทรัพย์ค้ำประกันราว 3 แสนล้านบาท และหนี้ที่ไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกันอีกกว่า 2แสนล้านบาท) หนี้ที่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน ถ้าซื้อในราคาส่วนลดที่ประมาณ 40-50% จะใช้เงินประมาณ 1.2-1.5แสนล้านบาท 

ส่วนหนี้ที่ไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน ถ้าซื้อหนี้ในราคา 5% จะใช้เงินราว 10,000 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นหนี้ที่มีอายุไม่เกิน 1ปี ราคาซื้อที่ประมาณ 5% ส่วนหนี้ที่มีอายุเกิน 1ปี ซื้อในราคา 3% โดยจะมีแหล่งเงินทุนรวมแล้วประมาณ 1.6 แสนล้านบาทนั้น หรือใช้เงินไม่เกิน 1.5 แสนล้านบาทต่อมูลหนี้ 5 แสนล้านบาท

“ภาครัฐต้องสนับสนุนสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ(ซอฟต์โลน) อัตราดอกเบี้ยอาจจะ 4.0% ต่อปี หรือรัฐบาลค้ำประกัน เพื่อสนับสนุนเงินทุนให้กับบริษัทบริหารจัดการสินทรัพย์ที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์หรือบริษัทที่มีผลประกอบการดีก่อน เพราะมีความเชี่ยวชาญในการบริหารจัดการหนี้ได้”

ทั้งนี้ การดำเนินการทั้งหมดต้องดำเนินงานภายใต้การกำกับของภาครัฐ โดยไม่ต้องตั้งบริษัทบริหารสินทรัพย์ขึ้นมาใหม่ เพราะ กระบวนการเพื่อจะซื้อหนี้ออกจากระบบธนาคารพาณิชย์ เพื่อจะฟื้นประเทศไทย เพียงแค่เสนอที่ประชุมครม.
 หลักการซื้อหนี้เพื่อมาบริหารจัดการนั้น ต้องนับตั้งแต่วันปรับโครงสร้างหนี้ 3เดือนลูกหนี้ต้องชำระค่างวดได้ต่อเนื่อง 3งวด/3เดือนและส่งข้อมูลลูกหนี้รายบุคคลต่อเครดิตบูโร เพื่อรายงานผลการปรับโครงสร้างหนี้แล้ว 

ขณะเดียวกันเพื่อให้กระบวนการปรับโครงสร้างหนี้ไม่สะดุด ภาครัฐต้องสนับสนุนเอกชนด้านฐานข้อมูล เพื่อช่วยบริษัทเอกชนให้สามารถติดต่อลูกหนี้หรือบุคคล เพราะลูกหนี้ส่วนหนึ่งไม่ยอมติดต่อและไม่กระทบกับกฎหมายข้อมูลส่วนบุคคล(PDPA) โดยรัฐบาลมี นโยบายให้กสทช.เพิ่มการทำประชาสัมพันธ์ เพื่อให้ความรู้การใช้เงินและมีวินัยทางการเงินและการใช้เงิน เพราะยังมีลูกหนี้อีกกลุ่ม ไม่ให้ตกชั้นเป็น  NPL 

“ถ้าหนี้ที่มีหลักทรัพย์ค้ำประกันประมาณ 3 แสนล้านบาท ซื้อในราคา 40%จะใช้เงินราว 1.2 แสนล้านบาท ซึ่งเงินจากการซื้อหนี้ดังกล่าวจะเป็นกำไรพิเศษกับแบงก์ เพราะไม่ต้องกันสำรองหนี้อีกแล้ว”

ส่วนหนี้ไม่มีหลักประกันประมาณ 2 แสนล้านบาท หากหนี้มีอายุไม่เกิน 1ปี ให้ซื้อในราคาไม่เกิน 5% ถ้าอายุหนี้เกิน 1ปี ให้ซื้อในราคาที่ 3% เฉลี่ยราคารับซื้อจะอยู่ที่ 4.0% โดยราวมจะใช้เงินซื้อแค่ 8,000 ล้านบาท(คำนวณจากมูลหนี้ 2 แสนล้านบาทคูณ 4.0%) เพราะฉะนั้นเงินทุนที่จะใช้ซื้อหนี้ทั้งหมดประมาณ 128,000ล้านบาท

ข้อสำคัญคือ เมื่อบริษัทซื้อหนี้ออกจากระบบธนาคารพาณิชย์แล้วจะต้องทำตามนโยบายที่ทางการกำหนด ซึ่งมูลหนี้ที่ประมาณ 5แสนล้านบาท น่าจะมีลูกหนี้หรือประชาชนอยู่ราว 2 ล้านคน ซึ่งจะต้องปรับโครงสร้างหนี้ให้ได้อย่างน้อย 1-1.5 ล้านคน หรือ 2ปีแก้หนี้ได้สัก 60-70% ประเทศเดินหน้าได้แล้ว ถ้าลูกหนี้ไม่ไหว ก็ต้องปรับกระบวนการกฎหมายด้วย เพื่อฟ้องคดี บังคับคดี ขายทอดตลาดเพื่อเฉลี่ยหนี้ หากมีเงินเหลือก็คืนลูกหนี้ 

หากทำได้ตามนี้ สะท้อนว่า ลูกหนี้จะสามารถกลับมาเริ่มต้นชีวิตใหม่ เพราะเครดิตดีขึ้นแล้ว เช่น ถ้าลูกหนี้เป็นหนี้บัตรเครดิต ไม่ต้องกำหนดวงเงินผ่อนชำระขั้นต่ำหรือขั้นสูง หากลูกค้าไม่มีความสามารถ ห้ามเกิน 3-4% เพราะเมื่อบริษัทเอกชนได้รับซอฟต์โลน ดอกเบี้ยที่ 4%ต่อปี กำหนดให้บริษัทเอกชนเรียกเก็บหนี้ต่องวด 2-4%

โดยบริษัทเอกชนชดเชยไปบ้างช่วงหนึ่ง หากดอกเบี้ยซอฟต์โลนยิ่งถูกลงหรือเหลือ 3% บริษัทเอกชนจะสามารถปรับโครงสร้างหนี้ได้ถูกขึ้นอีก โดยไม่เก็บอัตราดอกเบี้ย

ทั้งนี้หลักการหลังจากซื้อลูกหนี้ออกจากระบบแบงก์แล้วคือ 1.ต้องปรับโครงสร้างหนี้ 2.ไม่เรียกเก็บดอกเบี้ย 3.ลดเงินต้นได้ให้ลด  อย่างไรก็ตาม ผลกระทบย่อมเกิดขึ้นกับบริษัทบริหารจัดการทรัพย์สินอย่างแน่นอน อย่างปีที่ผ่านมาไชโย ก็ได้รับผลกระทบมตลอดสำหรับการปรับโครงสร้างหนี้ หรือกฎกติกาต่างๆที่ออกมา แต่ในแง่ของไชโยปรับตัวได้ 

“ถ้ารัฐสนับสนุนซอฟต์โลน 3-4% จากดอกเบี้ยหน้ากระดาน ธนาคารปัจจุบันอยู่ที่ประมาณเกือบ 7% แต่หากซอฟต์โลนยิ่งถูกทำให้ต้นทุนซื้อหนี้ถูกลงสามารถลดหนี้ให้กับประชาชนได้มาก” นายสุขสันต์กล่าวทิ้งท้าย

 

หน้า 1  หนังสือพิมพ์ ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 4,080 วันที่ 20 -22 มีนาคม พ.ศ. 2568