KEY
POINTS
การผลักดันโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ ภาคตะวันออก (EEC) ทั้งโครงการรถไฟความเร็วสูง (ไฮสปีดเทรน) เชื่อม 3 สนามบิน (ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา) ของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ที่มี บริษัท เอเชีย เอรา วัน จำกัด เครือซีพีเป็นคู่สัญญา และ โครงการสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบิน ฯ แม่เหล็กสำคัญ ที่จะดึงเม็ดเงินนักลงทุนข้ามชาติเข้าพื้นที่ และประเมินว่าหากโครงการดังกล่าว ลงมือก่อสร้าง จะกระตุ้นความมั่นใจ และมีเม็ดเงินหมุนเวียนเข้าประเทศได้อย่างมหาศาล
หลังจากที่ผ่านมาโครงการไฮสปีดมีความล่าช้ากว่า 5 ปีส่งผลกระทบต่อโครงการที่เกี่ยวเนื่องโดยเฉพาะสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออกที่บริษัท อู่ตะเภา อินเตอร์เนชั่นแนล เอวิเอชั่นจำกัด (UTA) ในฐานะผู้รับสัมปทาน พื้นที่ 6,500 ไร่
ล่าสุดนายจุฬา สุขมานพ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) เปิดเผยว่า ความคืบหน้าโครงการไฮสปีด เชื่อม 3 สนามบิน ขณะนี้อยู่ระหว่างรอรฟท.เตรียมเสนอร่างแก้ไขสัญญาร่วมทุนฯ ต่อคณะกรรมการ (บอร์ด) รฟท.พิจารณา
ทั้งนี้ทราบว่าจะมีการเสนอต่อบอร์ด รฟท.พิจารณาเมื่อวันที่ 13 มีนาคมที่ผ่านมา แต่มีการเลื่อนประชุมคระกรรมการรฟท.ออกไป ทำให้กระบวนการล่าช้าเล็กน้อย
ตามแผน รฟท.จะส่งร่างแก้ไขสัญญาต่อสำนักงานอัยการสูงสุดตรวจสอบ คาดว่าใช้เวลาประมาณ 1 เดือน หรือเสนอได้ภายในเดือนเมษายนนี้
หลังจากนั้นจะเสนอรายงานต่อคณะกรรมการอีอีซีพิจารณาเห็นชอบร่างแก้ไขสัญญาฯ ก่อนเสนอต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบภายในเดือนพฤษภาคม 2568 และดำเนินการลงนามแก้ไขสัญญาร่วมทุนฯ และออกหนังสือให้เริ่มงาน (Notice to Proceed: NTP) กับเอกชนต่อไป
ฟากการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) สะท้อนว่า การประชุมคณะกรรมการรฟท.มีการเลื่อนออกไป ทำให้รฟท.จะเสนอร่างแก้ไขสัญญาร่วมทุนฯโครงการไฮสปีดเชื่อม 3 สนามบิน ภายในวันที่ 27 มีนาคมนี้แทน จากเดิมที่มีแผนเสนอต่อคณะกรรมการ รฟท.ในวันที่ 13 มีนาคม 2568 เพราะมีวาระเร่งด่วนเป็นจำนวนมาก อาจทำให้พิจารณาไม่ทัน
ขณะที่องค์ประชุมคณะกรรมการรฟท.บางรายติดภารกิจไม่สามารถเข้าร่วมการประชุมได้ตามกำหนด ทำให้ที่ประชุมคณะกรรมการรฟท.เลื่อนออกไปตามกำหนดข้างต้น
อย่างไรก็ตามหากลงนามแก้ไขสัญญาร่วมทุนฯได้ภายในเดือนพฤษภาคม 2568 คาดว่ารฟท.พร้อมออก NTP ให้เอกชนเริ่มงานได้ภายในเดือนมิถุนายน 2568 โดยเอกชนจะเริ่มเข้าพื้นที่ก่อสร้าง 2 จุด ที่เป็นงานเร่งด่วนก่อน คือ บริเวณใต้รันเวย์ ที่ 2 สนามบินอู่ตะเภา และบางซื่อ-ดอนเมือง บริเวณที่มี โครงสร้างร่วมกับโครงการรถไฟไทย-จีน(สัญญา 4-1 )
ส่วนการก่อสร้างและเปิดเดินรถมีระยะเวลาดำเนินการ 5 ปี ทำให้เอกชนจะใช้วิธีการก่อสร้างแบบ Full Span Launching Gantries เป็นหลัก ซึ่งเป็นเทคนิคการสร้างสะพานหรือทางยกระดับที่เร็วที่สุด โดยมีโรงหล่อเซ็กเมนต์รวมประมาณ 3 จุด เช่น ที่บริเวณลาดกระบัง
นอกจากนี้จะดำเนินการการก่อสร้างฐานรากตอม่อรถไฟจากโรงหล่อ เพื่อเป็นเส้นทางส่งต่อชิ้นส่วนเซ็กเมนต์แต่ละช่วงยาวไม่ต่ำกว่า 30 เมตร เพราะขนส่งทางรถยนต์ไม่ได้ ส่วนช่วงบางซื่อ-ดอนเมือง อาจจะใช้วิธีก่อสร้างทีละช่วงเซ็กเมนต์ที่สั้นกว่า เพื่อให้สามารถขนส่งเซ็กเมนต์ทางรถยนต์ได้
ด้านความคืบหน้าโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภานั้น นายจุฬา กล่าวต่อว่า ขณะนี้สกพอ.ได้หารือร่วมกับบริษัท อู่ตะเภา อินเตอร์เนชั่นแนล เอวิเอชั่น จำกัด (UTA) ซึ่งเป็นเอกชนคู่สัญญาพัฒนาโครงการฯ โดยยืนยันความพร้อมเตรียมดำเนินการเข้าพื้นที่ก่อสร้างเพื่อเริ่มโครงการ เบื้องต้นคาดว่าจะมีการส่งมอบพื้นที่ได้ภายในเดือนเมษายน-พฤษภาคมนี้
ในปัจจุบันตามแผนการก่อสร้างท่าอากาศยานอู่ตะเภามีพื้นที่ทับซ้อนบริเวณชั้นล่างของอาคารผู้โดยสารที่เชื่อมต่อกับโครงการไฮสปีดเชื่อม 3 สนามบิน นั้น เบื้องต้นได้มีการหารือกับ UTA โดยเอกชนยืนยันขอปรับรายละเอียดเงื่อนไขสัญญา เพื่อให้โครงการพัฒนาท่าอากาศยานอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออกสามารถเดินหน้าได้ทันที
ขณะเดียวกันสกพอ.ได้มีการหารือกับ UTA ถึงรายละเอียดการยืนยันสิทธิประโยชน์ด้านการลงทุน เพราะเอกชนมีความพร้อมเตรียมชวนผู้ร่วมลงทุนเข้ามาดำเนินการด้วย ซึ่งจะต้องเสนอต่อกระทรวงการคลังพิจารณา คาดว่ากระบวนการหารือรายละเอียดเหล่านี้แล้วเสร็จภายในเดือนมิถุนายน 2568 ตามแผนเอกชนจะเริ่มเข้าพื้นที่ก่อสร้างได้ภายในปีนี้ ระยะเวลาก่อสร้าง 4 ปี ซึ่งจะเปิดให้บริการประมาณปี 2572
ทั้งนี้การปรับเงื่อนไขสัญญาดังกล่าวนั้น ยืนยันว่าสามารถดำเนินการได้ โดยไม่ต้องแก้ไขสัญญาโครงการสนามบินอู่ตะเภาโดยตัดเงื่อนไขที่เคยระบุต้องรอความชัดเจนไฮสปีดเชื่อม 3 สนามบิน จึงจะดำเนินการออกหนังสือให้เอกชนเข้าพื้นที่ (NTP) ออกไป เปลี่ยนเป็นเริ่มก่อสร้างส่วนของอาคารผู้โดยสารทันทีตามแผน
ขณะที่พื้นที่ทับซ้อนต้องก่อสร้างอุโมงค์ไฮสปีดฯ โดย รฟท.จะเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายและดำเนินการไปก่อน
ด้านบีโอไอชี้การขอรับส่งเสริมลงทุนในอีอีซียังโตไม่หยุด ยอดปี 2567 กว่า 5.04 แสนล้าน ยานยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ ดิจิทัลยังบูม ลุยดึงสหรัฐลงทุนเซมิคอนดักเตอร์
นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน(บีโอไอ) เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ”ว่า เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC / อีอีซี) ถือเป็นพื้นที่หลักมากกว่าครึ่งหนึ่งของโครงการที่มาขอรับการส่งเสริมการลงทุนจากบีโอไอในปีที่ผ่านมาเนื่องจากเป็นพื้นที่ที่มีความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐาน และมีซัพพลายเชนที่เกี่ยวเนื่องอยู่เป็นจำนวนมาก และมีระบบโลจิสติกส์ที่มีประสิทธิภาพ
โดยอุตสาหกรรมที่มีอยู่ในพื้นที่ส่วนใหญ่อยู่ใน 3 คลัสเตอร์หลักได้แก่ ยานยนต์, เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์, ปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ ซึ่งในปีนี้บีโอไอยังคงมุ่งเน้นให้การส่งเสริมเพื่อต่อยอดใน 3 คลัสเตอร์ดังกล่าว เช่น
ในอุตสาหกรรมยานยนต์จะต่อยอดในเรื่องของยานยนต์ไฟฟ้า (EV) อุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ต่อยอดเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าอัจฉริยะ เซมิคอนดักเตอร์ และอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง
ส่วนอุตสาหกรรมปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์จะส่งเสริมเคมีภัณฑ์ในกลุ่มที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
นอกจากนี้สอดคล้องกับสถิติการขอรับการส่งเสรริมการลงทุนจากบีโอไอในปี 2567 มีการขอรับการส่งเสริมการลงทุนทั้งสิ้น 3,137 โครงการเพิ่มขึ้นจากปีก่อนร้อยละ 40 และมีมูลค่าเงินลงทุน 1.13 ล้านล้านบาท (สูงสุดในรอบ 10 ปี) เพิ่มขึ้นร้อยละ 35 แบ่งเป็น
โครงการต่างชาติมูลค่าเงินลงทุน 703,090 ล้านบาท, โครงการของนักลงทุนไทย เงินลงทุน 267,427 ล้านบาท และโครงการร่วมลงทุนไทยและต่างชาติ เงินลงทุน 167,991 ล้านบาท
ทั้งนี้ในจำนวนโครงการขอรับการส่งเสริมการลงทุนทั้งหมดในปี 2567 เป็นคำขอรับการส่งเสริมการลงทุนในพื้นที่อีอีซี จำนวน 1,315 โครงการเพิ่มขึ้นจากปีก่อนร้อยละ 65 และมีเงินลงทุน 504,945 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 37
ส่วนใหญ่เป็นการลงทุนในอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ และอุตสาหกรรมดิจิทัล แบ่งเป็นการลงทุนใน 3 จังหวัดในพื้นที่อีอีซี ดังนี้
ชลบุรี 718 โครงการ เงินลงทุน 261,197 ล้านบาท, ระยอง 469 โครงการ เงินลงทุน 202,333 ล้านบาท และฉะเชิงเทรา 128 โครงการ เงินลงทุน 41,415 ล้านบาท
ส่วนที่เหลือเป็นคำขอรับการส่งเสริมการลงทุนในนิคมอุตสาหกรรมหรือเขตอุตสาหกรรมที่ได้รับการส่งเสริม จำนวน 955 โครงการเงินลงทุน 468,578 ล้านบาท, เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษชายแดน 5 โครงการ เงินลงทุน 558 ล้านบาท และใน 20 จังหวัดที่มีรายได้ต่อหัวต่ำจำนวน 60 โครงการ เงินลงทุน 16,379 ล้านบาท
“นอกจากใน 3 กลุ่มคลัสเตอร์อุตสาหกรรมหลักข้างต้นที่การลงทุนยังขยายต่อเนื่องและเราจะต่อยอดแล้ว ในพื้นที่อีอีซียังมีอีกอุตสาหกรรมที่เข้าไปตั้งเป็นจำนวนมากในช่วงปีที่ผ่านมาคือ ดาต้าเซ็นเตอร์ซึ่งคาดว่าจะยังคงมีการลงทุนอย่างต่อเนื่องในปีนี้”
เลขาธิการบีโอไอ กล่าวอีกว่าในปี 2568 บีโอไอคาดการขอรับการส่งเสริมการลงทุนในภาพรวม จะมีมูลค่าไม่ต่ำกว่าในปีที่ผ่านมา โดยในอุตสาหกรรมสำคัญๆ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มยานยนต์และชิ้นส่วน กลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ กลุ่มเคมีภัณฑ์ รวมถึงกิจการด้านดิจิทัลโดยเฉพาะดาต้าเซ็นเตอร์ ยังมีแนวโน้มการเติบโตต่อเนื่อง
ทั้งนี้บีโอไอยังมุ่งเน้นดึงการลงทุนจากประเทศหลัก ได้แก่ ญี่ปุ่น จีน เกาหลีใต้ สหรัฐอเมริกา และยุโรป โดยในเดือนเมษายนนี้บีโอไอมีแผนจะไปโรดโชว์ที่สหรัฐอเมริกา มีเป้าหมายเพื่อดึงการลงทุนในกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์
“บีโอไอมีหลายแพ็คเก็จเพิ่มเติม เพื่อดึงการลงทุนจากต่างประเทศ เฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่อีอีซี เช่นจะได้รับการลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคลเพิ่มเติมร้อยละ 50 อีก 3 ปี จากเกณฑ์ปกติ แต่มีเงื่อนไขว่าโครงการต้องมีความร่วมมือกับสถาบันการศึกษาในพื้นที่เพื่อพัฒนาบุคลากรด้วย เป็นต้น”