“พิชัย” ประกาศเป็นศูนย์กลางการลงทุนภูมิภาค ดันจีดีพีโต 3.5%

12 มี.ค. 2568 | 12:20 น.
อัปเดตล่าสุด :12 มี.ค. 2568 | 12:25 น.

“พิชัย ชุณหวิชร” รองนายกฯ ประกาศเป็นศูนย์กลางการลงทุนภูมิภาค ดันจีดีพีปีนี้โตสูงสุด 3.5% ระบุไทยมีความพร้อม มองสงครามการค้าเป็นโอกาส ย้ำเสถียรภาการคลังเข้มแข็ง

นายพิชัย ชุณหวิชร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวปาฐกถา เรื่อง “ความพร้อมประเทศไทยเพื่อการเป็นจุดหมายการลงทุนระดับโลก” ในงาน Ignite Thailand : Invest in Endless Opportunities จัดโดย สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ BOI ว่า มากกว่า 10 ปีที่ผ่านมา ไทยเราอาจจะมีกิจกรรมด้านการลงทุนน้อย โดยเฉพาะกับต่างประเทศ

นายพิชัย ชุณหวิชร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง

อย่างไรก็ตาม ในปี 2567 มียอดคำขอบีโอไอสูงเป็นประวัติการณ์ รวมมูลค่า 3 หมื่นล้านเหรียญ หรือ 1 ล้านล้านบาท โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (อีวี) รถยนต์ไฮบริจ และอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ 

“นักลงทุนทุกคนที่เข้ามาไม่ได้แสดงความสนใจลงทุนอย่างเดียวแต่ถามว่าถ้าเข้ามาแล้ว ไทยเรามีการเตรียมความพร้อมอย่างไร ขณะเดียวกัน จากเรื่องปัญหาภูมิรัฐศาสตร์และการเมืองโลกในตอนนี้เป็นจังหวะ ที่หลายคนบอกว่าเป็นวิกฤต แต่ผมมองว่าเป็นโอกาสสำหรับประเทศไทย เพราะมองว่านักลงทุนวิ่งมาที่ประเทศไทย เราก็มองว่าเรื่องนี้เป็นโอกาส”นายพิชัย กล่าว 

ทั้งนี้ ประเทศไทยพร้อมแล้วสำหรับการเป็นศูนย์กลางของการลงทุนในภูมิภาค เหมือนที่เคยเป็นในอดีต อย่างไรก็ดี สิ่งแรกที่นักลงทุนถาม คือ เรื่องของการเติบโตทางเศรษฐกิจเป็นอย่างไร ซึ่งในอดีตเมื่อ 40 ปีก่อน ไทยเคยมีการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่สูง มากกว่า 10% และจากนั้นปรับลดลงมา อยู่ในระดับ 4-6% ต่อปี จนมาถึงช่วงโควิด จีดีพีไทยปรับลงมาต่ำประมาณ 2% แต่ในปี 2568 นี้ รัฐบาลวางเป้าหมายว่าเศรษฐกิจไทยจะโต 3-3.5% แต่ไม่ใช่เป้าหมายระยะยาว 

“นักลงทุนที่ขอบีโอไอ รวมกว่า 3 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ นั้น แตกต่างจากนักลงทุนที่ผ่านมาที่ขอลงทุนแล้ว อีก 3 ปีต่อไปกว่าจะใช่เงินลงทุน แต่นักลงทุนกลุ่มใหม่นั้น ต้องการให้การลงทุนรวดเร็ว รัฐบาลการจึงต้องเร่งรัฐการทำงาน เนื่องจากทุกคนต้องการเชื่อมต่อซัพพลายเชนของโลกที่เริ่มสะดุด ซึ่งไทยถือเป็นจุดเชื่อมต่อที่ดีแห่งหนึ่ง ถือเป็นวิน-วิน โซลูชั่น”นายพิชัย กล่าว 

สำหรับประเทศไทยมีความพร้อมที่จะเป็นจุดหมายของการลงทุน โดยเรื่องแรกคือ ทำเลที่ตั้ง อยู่ในพื้นที่ที่ล้อมรอบด้วยประชากรโลก 600-700 ล้านคน ต่อมาไทยเราน่าจะเป็นประเทศเดียวที่สามารถเป็นจุดเชื่อมระหว่างมหาสมุทรแปซิฟิก กับมหาสมุทรอินเดีย ที่เป็นการเชื่อมคนขายและคนซื้อทรัพยากร เพราะฉะนั้นรัฐบาลจึงเร่งทำโครงการรถไฟรางคู่เพื่อเชื่อมต่อทุกจุดให้ลื่นไหล โดยรถไฟรางคู่จากกรุงเทพ เชื่อมถึงประเทศลาว จะเสร็จสิ้นในอีก 4 ข้างหน้า   

นอกจากนี้ ไทยยังมีความสามารถในการผลิตไฟฟ้าสูง ถึงแม้เศรษฐกิจจะโตต่ำแต่ไทยก็มีการลงทุนด้านการผลิตไฟฟ้า จนทำให้เกิดการผลิตไฟฟ้าได้เกินความต้องการที่จะใช้ในประเทศแล้ว คาดว่ามากกว่า 1 หมื่นเมกะวัตต์  จึงเป็นโอกาสที่ดีในการดึงดูดการลงทุน ส่วนเรื่องอินเตอร์เน็ต 5g ก็มีโครงสร้างพื้นฐานที่ดี 

ด้านเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของไทยนั้น ยืนยันว่ามีเสถียรภาพทางการคลังยังคงเข้มแข็ง แม้ว่ามีจีดีพีจะเติบโตไม่สูง แต่พื้นฐานจากในอดีตทำให้ไทยมีความมั่นคงทางการคลัง และมีเม็ดเงินสำรองระหว่าประเทศในระดับ 2 แสนล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งสูงกว่าหนี้ระยะสั้นของไทยที่มีอยู่ในต่างประเทศมากถึง 3 เท่า    

“ประเทศไทยมีสภาพคล่องที่ยังเหลืออยู่จำนวนมาก ซึ่งไม่ใช่ไม่อยากใช้ แต่แค่รอว่าจะมีการรับรองว่าเม็ดเงินเหล่านี้ถูกดึงไปแล้ว จะมีผลตอบแทนที่มั่นคง และได้คืนหรือไม่ ซึ่งคาดว่ามีเม็ดเงิน 4 ล้านล้านบาท ที่รอไปใช้เพื่อการลงทุน ส่วนภาคธุรกิจธนาคารไทยก็มีความแข็งแรง”นายพิชัย กล่าว 

ทั้งนี้ การเติบโตของการส่งออกในปีนี้ยังอยู่บนเครื่องยนต์เก่า อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าภายใน 3 ปีข้างหน้า การลงทุนขนาดใหญ่ที่กำลังเข้ามานั้น คาดว่าจะเป็นการผลิตเพื่อบริโภคภายในประเทศราว 10% และที่เหลือเป็นการส่งออก ซึ่งจะมีผลต่อดีต่อการส่งออกไทยในภาพรวมตั้งแต่ปี 2569-2570 เป็นต้นไป

“การผลักดันภาคส่งออกเพื่อให้ถึงเป้าหมายในปีนี้ จะต้องเข้าไปแก้ไขปัญหา และอุปสรรค มีการเจรจาและประสานงานกับคู่ค้าอย่างใกล้ชิด นอกจากนั้นยังอยากเห็นค่าเงินบาทอ่อน อย่างมีเสถียรภาพ”