ระบุได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของปลาชนิดนี้ และมีการเรียกร้องค่าเสียหายเกือบ 2,500 ล้านบาท ซึ่งจำเลย คือ บริษัทเจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ ซึ่งเป็นผู้ขออนุญาตนำเข้าปลาชนิดนี้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย อย่างไรก็ตามคำสั่งของศาลในครั้งนี้ยังเป็นเพียงการอนุญาตให้คดีดำเนินต่อไป ไม่ใช่คำตัดสินว่าบริษัทฯ มีความผิด
แม้ว่ากระบวนการพิจารณาคดียังอยู่ในช่วงเริ่มต้นและยังไม่เข้าสู่ขบวนการพิจารณาของศาลเลย แต่สาธารณะกลับโน้มเอียงตัดสินไปแล้วว่าบริษัทฯ คือผู้กระทำผิด ทั้งที่ยังไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่พิสูจน์ได้ว่า ซีพีเอฟ เป็นต้นเหตุของการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำจริงหรือไม่ คดีนี้จึงควรถูกตัดสินจากข้อเท็จจริงและหลักฐานที่โจทก์และจำเลยนำมาแสดงต่อศาล มากกว่าการคาดเดาหรือใช้กระแสสังคมมากดดันตีตราให้มีฝ่ายผิดโดยอัตโนมัติ จะกลายเป็นดาบสองคมที่มีความเสี่ยงต่อกระบวนการยุติธรรม
ว่ากันตามหลักฐานสำคัญที่ยังไม่มีบทพิสูจน์ชัดเจนจนถึงขณะนี้ คือ ไม่มีผลการตรวจสอบ DNA ที่ยืนยันว่าปลาหมอคางดำที่แพร่ระบาดในระบบนิเวศของไทยมาจากบริษัท ซีพีเอฟ โดยตรงที่บริษัทฯ ขออนุญาตจากกรมประมงว่านำเข้ามาจากประเทศกานา
ขณะที่การตรวจสอบแหล่งที่มาของทางภาครัฐพบว่ามาจาก 2 ประเทศ คือ กานาและโกตดิวัวร์ (ไอวอรี่ โคสต์) ตลอดจนรายงานของกรมประมงว่ามีบริษัทอย่างน้อย 11 แห่ง ที่เกี่ยวข้องกับการส่งออกปลาชนิดนี้ ซึ่งอาจเป็นแหล่งแพร่กระจายที่แท้จริงของปลาหมอคางดำในประเทศไทยได้เช่นกัน ศาลจะพิจารณาข้อมูลนี้ให้รอบด้านก่อนชี้ว่าใครต้องรับผิดชอบ
การดำเนินคดีแบบกลุ่มช่วยให้เกษตรกรรวมตัวกันฟ้องร้องได้ง่ายขึ้น แต่โจทก์ก็จำเป็นต้องพิสูจน์ให้ได้ว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นมีสาเหตุมาจากการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำจากแหล่งเดียวกัน เนื่องจากเกษตรกรที่ร่วมฟ้องร้องอยู่ในพื้นที่ต่างกัน มีวิธีการเลี้ยงสัตว์น้ำที่แตกต่างกัน และอาจได้รับผลกระทบจากปัจจัยอื่น เช่น การเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อม หรือการจัดการฟาร์มของตนเอง
คดีนี้เป็นตัวอย่างของความสำคัญของกระบวนการยุติธรรมที่ต้องดำเนินไปตามหลักฐานและข้อเท็จจริง ไม่ใช่แรงกดดันจากกระแสสังคม แม้ว่าเกษตรกรจะมีสิทธิ์เรียกร้องความเป็นธรรม ขณะเดียวกันบริษัทที่ถูกกล่าวหาก็สมควรได้รับการพิจารณาอย่างเป็นธรรมเช่นกัน จึงต้องมีการเปิดรับข้อมูลจากหลายแหล่ง ตรวจสอบข้อมูลอย่างรอบคอบ และใช้วิจารณญาณโดยปราศจากอคติ เนื่องจากปัจจุบันมีการใช้ข้อมูลเท็จ สร้าง fake news สร้างผลกระทบและทำลายภาพลักษณ์ของกลุ่มเป้าหมาย
แทนที่จะเร่งตัดสินว่าใครผิดหรือถูก สังคมควรรอให้ศาลเป็นผู้พิจารณาคดีตามพยานหลักฐาน เพื่อให้ได้ข้อสรุปที่เป็นธรรมที่สุดสำหรับทุกฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบหรือบริษัทที่ถูกกล่าวหา เพราะสุดท้ายแล้ว ความยุติธรรมต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของข้อเท็จจริง ไม่ใช่แค่ความเชื่อหรือตามกระแสสังคม
บทความโดย : อัยย์ วิทยาเจริญ นักวิชาการอิสระด้านสัตว์น้ำ