ข้าวไทยผวา “ทรัมป์”สั่งเก็บภาษี ทุบตลาดใหญ่สุดหอมมะลิไทยส่อวูบ

07 มี.ค. 2568 | 14:43 น.
อัปเดตล่าสุด :07 มี.ค. 2568 | 14:57 น.

จับตา “ทรัมป์” สั่งเก็บภาษีสินค้าเกษตร “ข้าว”ขวัญผวา หวั่นกระทบตลาด 8.3 แสนตันส่อวูบ ชี้สหรัฐเป็นตลาดใหญ่สุดข้าวหอมมะลิไทยส่งออกปีละกว่า 7 แสนตัน สถาบันคลังสมอง ระบุค้าเสรีโลกภายใต้ WTO รอบ 3 ทศวรรษกำลังถูกท้าทายจากการค้าย้อนยุค

เศรษฐกิจและการค้าโลก ณ เวลานี้กำลังถูกสั่นครอนจากการดำเนินนโยบาย  “America First” ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐอเมริกา ที่เข้ามาบริหารประเทศได้ไม่ถึง 2 เดือน แต่ได้ประกาศจะปรับขึ้นภาษี หรือชะลอการขึ้นภาษีสินค้ากับประเทศต่าง ๆ เป็นรายวัน อ้างเหตุผลเพื่อลดการขาดดุลการค้า และการสงครามการค้าจากการทำการค้าที่ไม่เป็นธรรมกับสหรัฐ ฉีกกฎเกณฑ์การค้าภายใต้องค์การการค้าโลก (WTO)ที่สนับสนุนการค้าเสรีเกือบสิ้นเชิง

ล่าสุดได้เดินหน้าปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนจาก 10% เป็น 20% แต่ชะลอการปรับขึ้นภาษีสินค้าจากเม็กซิโก และแคนาดา ที่พึ่งพาการส่งออกไปยังสหรัฐสัดส่วนมากกว่า 70% ของการส่งออกโดยรวมออกไปอีก 1 เดือนหลังมีการเจรจาต่อรอง

สำหรับไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่มีความเสี่ยงสูง อาจถูกสหรัฐปรับขึ้นภาษีสินค้า จากในปี 2567 ไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่อยู่ในจอเรดาร์หรือถูกเล็งเป้าหมาย เนื่องจากเป็นประเทศที่เกินดุลการค้าสหรัฐมากอยู่ในลำดับที่ 11 ของประเทศคู่ค้าจากทั่วโลก ทั้งนี้สินค้าที่สหรัฐประกาศจะปรับขึ้นภาษีส่วนใหญ่จากทั่วโลกเวลานี้ส่วนใหญ่ยังอยู่ในกลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม  อย่างไรก็ดีไม่มีใครสามารถคาดเดา หรือการันตีได้ว่าในส่วนสินค้าเกษตรของไทยจะไม่ถูกใช้มาตรการในครั้งนี้

รศ.สมพร  อิศวิลานนท์ นักวิชาการอาวุโส สถาบันคลังสมองของชาติ เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ”ว่า  สถานการณ์ของโลกในเวลานี้กำลังเปลี่ยนแปลงและสั่นคลอนจากนโยบายปกป้องทางการค้า(protectionism )ของสหรัฐ ภายใต้ America First ที่ใช้มาตรการทางภาษีศุลกากรมามาเป็นเครื่องมือในการต่อรองทางการค้ากับประเทศต่าง ๆ ที่ได้เปรียบดุลการค้ากับสหรัฐ

ส่งผลให้การค้าโลกจากที่เคยพัฒนาสู่ระบบการค้าเสรี (Globalization) มากว่า 3 ทศวรรษภายใต้กรอบนโยบายของ WTO กำลังถูกท้าทายโดยประเทศมหาอำนาจโดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา ที่นำเอาภาษี(Tariff) มาเป็นเครื่องมือจัดการกับประเทศที่ได้เปรียบดุลการค้ากับสหรัฐ

รศ.สมพร  อิศวิลานนท์ นักวิชาการอาวุโส สถาบันคลังสมองของชาติ

สำหรับประเทศไทยนั้นได้เปรียบดุลการค้ากับสหรัฐเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา จากปี 2566 ที่ได้เปรียบดุลการค้าสหรัฐ 29,045.69 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ได้ปรับตัวสูงขึ้นเป็น 35,428 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2567

ส่วนหนึ่งที่น่าห่วงเวลานี้ คือในสินค้าเกษตรที่ไทยส่งออกไปสหรัฐที่สำคัญได้แก่ ข้าว ประมาณ 830,000 ตันต่อปี ในจำนวนนี้เป็นข้าวหอมมะลิและกลุ่มข้าวหอมประมาณกว่าร้อยละ 85 (705,500 ตัน) นโยบาย protectionism ของทรัมป์ กำลังเพิ่มความเสี่ยงและความไม่แน่นอนให้กับการส่งออกสินค้าเกษตรและอาหารของไทยไปสหรัฐ รวมถึงสินค้าอุตสาหกรรมทั้งเครื่องใช้ไฟฟ้า รถยนต์ แร่ธาตุบางชนิด และอื่นๆ

นอกจากนี้ปัจจัยด้านภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitics) ที่ประเทศมหาอำนาจใช้เป็นกลไกในการครอบงำและสร้างอำนาจในการต่อรอง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อแนวนโยบายด้านความมั่นคง ด้านเศรษฐกิจ และการค้าทั้งในระดับภูมิภาคและทวิภาคี ตามมา และความไม่แน่นอนจากด้านภูมิรัฐศาสตร์ จะสร้างความผันผวนให้กับการค้าสินค้า รวมถึงสินค้าเกษตรและราคาพลังงานตามมา

ข้าวไทยผวา “ทรัมป์”สั่งเก็บภาษี ทุบตลาดใหญ่สุดหอมมะลิไทยส่อวูบ

จากข้อมูลของสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทยโดยความร่วมมือจากกรมศุลกากรในปี 2567 ไทยส่งออกข้าวได้ 9.94 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 13.4% มูลค่า 225,656 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 26.6%

ล่าสุดช่วง 2 เดือนแรกปี 2568 (ม.ค.-24 ก.พ.) ส่งออกได้ 1.1 ล้านตัน ลดลง 32% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ส่งออกได้ 1.6 ล้านตัน  เป็นผลกระทบจากอินเดียผู้ส่งออกข้าวอันดับ 1 ของโลกกลับมาส่งออกข้าวในกลุ่มข้าวขาวอีกครั้ง ขณะที่ราคาข้าวส่งออกของไทยสูงกว่าคู่แข่งขัน หลายประเทศที่เป็นคู่ค้าในปีนี้มีนโยบายลดการนำเข้า รวมถึงผลจากค่าเงินบาทที่ยังผันผวน กระทบต่อความสามารถในการแข่งขัน ทำให้คาดว่าตลอดทั้งปี 2568 ไทยจะส่งออกข้าวได้ประมาณ 7.5 ล้านตัน

สำหรับตลาดข้าวไทยในสหรัฐในปี 2567 ไทยส่งออกได้ 848,449 ตัน เพิ่มขึ้น 20.1% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า มูลค่า 28,029 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27.8% โดยสหรัฐเป็นตลาดส่งออกข้าวอันดับ 3 ของไทยในปี 2567 รองจากอินโดนีเซีย และอิรัก ทั้งนี้สหรัฐถือเป็นตลาดนำเข้าข้าวหอมมะลิจากไทยเป็นอันดับ 1 หากสหรัฐมีการเก็บหรือขึ้นภาษีจะส่งผลกระทบต่อการส่งออกข้าวไทยไปสหรัฐมีแนวโน้มลดลง เนื่องจากเดิมสหรัฐไม่เก็บภาษีนำเข้าข้าวจากทุกประเทศ เนื่องจากห่วงเรื่องเงินเฟ้อและค่าครองชีพสูง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อราคาข้าวเปลือกของเกษตรกรในประเทศไทยตามมา