หอการค้าย้ำไทยเสี่ยงสูง”ทรัมป์”ขึ้นภาษี จี้ตั้งทีมพิเศษรัฐ-เอกชนรับมือ

06 มี.ค. 2568 | 12:35 น.
อัปเดตล่าสุด :06 มี.ค. 2568 | 12:56 น.
1.5 k

บิ๊กหอการค้าออกแถลงการณ์ ตอกย้ำเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยมีความเสี่ยงสูง จากการปรับขึ้นภาษีของ “โดนัลด์ ทรัมป์” จับตาสงครามการค้าสหรัฐฯ-โลก บีบสินค้าต่างประเทศทะลักเข้าไทยเพิ่ม จี้ตั้งทีมพิเศษร่วมรัฐ-เอกชน วางแผนรับมือ เจรจาต่อรองฉับไว เลียนอย่างเม็กซิโก-แคนาดา

รายงานข่าวจากหอการค้าไทย (6 มี.ค. 2568) ผู้บริหารของหอการค้าไทยได้ออกแถลงการณ์ย้ำรัฐบาลให้เตรียมความพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงนโยบายการค้าของสหรัฐอเมริกา ภายใต้การบริหารของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งมีความเสี่ยงส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยและโลกอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งนี้ไทยมีความเสี่ยงที่จะถูกขึ้นภาษี เนื่องจากเป็นหนึ่งในประเทศที่สหรัฐขาดดุลการค้าในลำดับที่ 11

หอการค้าย้ำไทยเสี่ยงสูง”ทรัมป์”ขึ้นภาษี  จี้ตั้งทีมพิเศษรัฐ-เอกชนรับมือ

นอกจากนี้ หอการค้าไทยยังแสดงความกังวลเกี่ยวกับมาตรการภาษีของสหรัฐฯ กับทั่วโลก ซึ่งอาจทำให้มีสินค้าจากต่างประเทศทะลักเข้าสู่ตลาดอาเซียนรวมถึงไทย จะสร้างแรงกดดันต่อการส่งออกของไทยและผู้ประกอบการไทยในทุกระดับต้องเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น ดังนั้น ขอให้รัฐบาลเร่งตั้ง “ทีมพิเศษ” (Special Team) ประกอบด้วยภาครัฐและภาคเอกชนที่มีอำนาจสั่งการระดับกระทรวง เพื่อวางแผนรับมือและกำหนดแผนเชิงรุกกกับการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงของนโยบายเศรษฐกิจการค้าของสหรัฐ กับทั่วโลก

สำหรับสหรัฐอเมริกาเป็นตลาดส่งออกอันดับ 1 ของไทย ปี 2566 ไทยส่งออกไปสหรัฐ 67,659 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยไทยเกินดุลการค้าสหรัฐ 29,045 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ปี 2567 ข้อมูลเบื้องต้นพบว่าไทยยังคงเกินดุลการค้าสหรัฐ ประมาณ 45,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ทำให้ขยับจากประเทศที่เกินดุลการค้าสหรัฐในลำดับที่ 12 มาเป็นลำดับที่ 11

สนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย

เรื่องดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงโอกาสที่ไทยอาจถูกเพ่งเล็งจากรัฐบาลสหรัฐ ในเรื่องความไม่สมดุลทางการค้า โดยที่นโยบายการค้าของทรัมป์มุ่งลดการขาดดุลการค้า กับประเทศคู่ค้า ซึ่งอาจนำไปสู่การขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากไทย และเพิ่มความเข้มงวดในการบังคับใช้กฎระเบียบทางการค้าเพื่อปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศ ซึ่งหากไทยไม่สามารถปรับตัวได้อย่างทันท่วงที อาจส่งผลให้มูลค่าการส่งออกไปยังสหรัฐ ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ

นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า หอการค้าได้มีการหารือและส่งสัญญาณไปยังรัฐบาลถึงการเตรียมความพร้อมมาตรการในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงนโยบายการค้าของประธานาธิบดีทรัมป์ ขณะเดียวกัน นโยบายการค้าเชิงรุกของสหรัฐ และมาตรการกีดกันสินค้านำเข้าของสหรัฐจะทำให้หลายประเทศต้องหันมาพึ่งพาตลาดใหม่โดยเฉพาะอาเซียนและไทยมากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ไฟฟ้า ยานยนต์ สินค้าอุตสาหกรรม สินค้าอุปโภคบริโภค สินค้าเกษตรและอาหาร เป็นต้น

เพื่อป้องกันผลกระทบดังกล่าว หอการค้าฯ จึงเสนอให้รัฐบาลดำเนินมาตรการควบคุมและกวดขันการนำเข้าสินค้าอย่างเข้มงวด โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าที่อาจไม่ได้คุณภาพ หรือสินค้าที่มีราคาถูกจนส่งผลต่อการแข่งขันที่เป็นธรรม (Free and Fair Trade) ภาครัฐควรมีการตรวจสอบมาตรฐานสินค้านำเข้าอย่างละเอียดก่อนอนุญาตให้เข้าสู่ตลาดไทย โดยกำหนดให้สินค้าบางประเภทต้องผ่านการรับรองมาตรฐานจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และมีการตรวจสอบแหล่งกำเนิดสินค้าเพื่อป้องกันการปลอมแปลงหรือหลบเลี่ยงภาษี

ในส่วนของสินค้าที่ทะลักเข้ามาแล้ว รัฐบาลต้องบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง โดยเฉพาะการกวดขันเรื่องการลักลอบนำเข้าสินค้าโดยไม่เสียภาษี การตรวจสอบการใช้ราคาต่ำผิดปกติเพื่อทำลายการแข่งขัน รวมถึงการป้องกันการทุ่มตลาด (Dumping) ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อธุรกิจภายในประเทศอย่างรุนแรง นอกจากนี้ ควรพิจารณาการออกกฎหมายหรือมาตรการเพิ่มเติมเพื่อป้องกันการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม โดยอาจกำหนดมาตรการปกป้องธุรกิจภายในประเทศจากการทุ่มตลาดของสินค้าต่างชาติ และทบทวนกฎหมายด้านการแข่งขันทางการค้าให้เหมาะสมกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป

หอการค้ายังได้ถอดบทเรียนจากการประกาศที่อเมริกาประกาศภาษีศุลกากรต่อเม็กซิโกและแคนาดาในอัตรา 25% แม้ทั้งสองประเทศเป็นพันธมิตรและคู่ค้าใหญ่มากของสหรัฐ แต่สังเกตความฉับไวของการตัดสินใจของทั้งสองประเทศต่อรองซื้อเวลาได้อีกหนึ่งเดือน และเมื่อวันที่ 4 มีนาคมที่ภาษีนำเข้า 25% ถูกบังคับใช้เป็นทางการ ทั้งสองประเทศก็สามารถใช้ทีมพิเศษตอบโต้และต่อรองได้คล่องตัว จนมีข่าวว่าทำเนียบขาวส่งสัญญาณจะพบกันกับเม็กซิโกและแคนาดาที่ครึ่งทาง

พร้อมกันนี้ไทยก็ควรให้ความสำคัญกับการดูแลอัตราค่าเงินบาทและอัตราแลกเปลี่ยนด้วย เนื่องจากหลายประเทศที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายภาษีของสหรัฐ อาจมีการใช้กลยุทธในการ “บริหารค่าเงิน”ของตนเพื่อลดผลกระทบจากภาษี และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ดังนั้นไทยจำเป็นต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและไม่ควรมองข้ามประเด็นปัจจัยด้านการเปลี่ยนแปลงค่าเงินและอัตราแลกเปลี่ยน 

ดร.พจน์ อร่ามวัฒนานนท์ รองประธานกรรมการ คนที่ 1 กล่าวว่า หอการค้าไทย มีความเป็นห่วงต่อภาพรวมและตัวเลขการค้าของไทยซึ่งได้ดุลการค้าจากสหรัฐสูง เพื่อป้องกันผลกระทบจากนโยบายดังกล่าว ไทยเองโดยควรพิจารณาเพิ่มการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ โดยเฉพาะสินค้าเกษตร อาหาร และพลังงาน เพื่อลดความกดดันด้านดุลการค้า รวมถึงพิจารณาปฏิรูปโควตาภาษีนำเข้าของไทยกับสหรัฐ ให้มีจุดยืนที่เป็นธรรมและเข้มแข็ง (Fair and Strong Position) ในการเจรจากับสหรัฐ

นอกจากนี้ รัฐบาลควรให้ความสำคัญกับการจัดเก็บและวิเคราะห์ข้อมูลเสียดุลการค้าภาคบริการ (Deficit on Services) เช่น บริการดิจิทัล ค่าบริหารจัดการ ลิขสิทธิ์ ภาคธนาคาร ภาคประกันภัย การศึกษา เพื่อสะท้อนให้เห็นถึงความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจที่ซับซ้อนกว่าตัวเลขการค้าสินค้าเพียงอย่างเดียว

พจน์ อร่ามวัฒนานนท์ รองประธานกรรมการหอการค้าไทย คนที่ 1

หอการค้าไทยย้ำให้รัฐบาลจัดตั้ง “ทีมพิเศษ” (Special Team) ที่มีอำนาจสั่งการกระทรวงสำคัญ เช่น กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรฯ กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงดิจิทัลฯ และกระทรวงแรงงาน ร่วมกับภาคเอกชน โดยเฉพาะสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เพื่อกำหนดยุทธศาสตร์เจรจาเชิงรุกกับสหรัฐฯ การทำงานต้องครอบคลุมทั้งการป้องกันมาตรการภาษีที่อาจเกิดขึ้น รวมถึงการใช้โอกาสจากมาตรการภาษีของทรัมป์ (Trump Tariffs) ซึ่งถือเป็นนโยบายกาลักน้ำ (Zero Sum Game) ที่ประเทศหนึ่งได้ อีกประเทศหนึ่งต้องเสีย ดังนั้น ไทยต้องวางกลยุทธ์ให้เป็นฝ่ายได้รับประโยชน์สูงสุดจากการปรับเปลี่ยนโครงสร้างการค้าโลก ซึ่งอาจส่งผลบวกต่อ GDP ไทย 0.5% ถึง 1.0% 

ดร.ชนินทร์ ชลิศราพงศ์ ประธานคณะกรรมการเจรจาการค้าระหว่างประเทศ หอการค้าไทย กล่าวว่า หนึ่งในแนวทางที่สำคัญในการลดแรงกดดันทางการค้าจากสหรัฐฯ คือ การเพิ่มการนำเข้าสินค้าเกษตรและอาหารที่จำเป็นจากสหรัฐ ซึ่งจะช่วยให้ไทยมีจุดยืนที่ดีขึ้นในการเจรจาต่อรอง หากพิจารณามูลค่าการค้าเฉพาะสินค้าหมวดสินค้าเกษตรกรรม (กสิกรรม,ปศุสัตว์,ประมง) และสินค้าอุตสาหกรรมการเกษตร พบว่าไทยเกินดุลสหรัฐเพียง 2,665 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 7.5%

โดยหอการค้าไทยเสนอให้รัฐบาลพิจารณาการนำเข้าสินค้ากลุ่มต่าง ๆ ที่ไทยยังขาดแคลน และการนำเข้าไม่กระทบต่อผู้ค้าและเกษตรกรไทย อาทิ 1) พืชอาหารสัตว์ (ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และถั่วเหลือง) ที่ผ่านมาไทยผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ไม่เพียงพอสำหรับอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ และปัจจุบันยังต้องนำเข้าจากประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งอาจเผชิญกับปัญหาสิ่งแวดล้อมและหมอกควัน การเปิดโควตานำเข้าข้าวโพดจากสหรัฐฯ ในช่วงนอกฤดูเก็บเกี่ยวของไทย จะช่วยให้ไทยมีทางเลือกด้านซัพพลายที่มากขึ้น 2) สินค้าอาหารทะเล เช่น ปลาแซลมอนแช่แข็ง หอยเชลล์ และปลาทูน่าจากเรือชักธงสหรัฐ ซึ่งไทยสามารถนำเข้าวัตถุดิบเพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมแปรรูปภายในประเทศ

หอการค้าย้ำไทยเสี่ยงสูง”ทรัมป์”ขึ้นภาษี  จี้ตั้งทีมพิเศษรัฐ-เอกชนรับมือ

หอการค้าฯ ขอเน้นย้ำว่ารัฐบาลไทยต้องมีมาตรการเชิงรุกและเร่งด่วนในการรับมือต่อการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในเวทีเศรษฐกิจโลก ทั้งในมิติของการค้าระหว่างประเทศ การเมืองระหว่างประเทศ และประเด็นสิทธิมนุษยชน หากไม่มีการเตรียมพร้อมอย่างรอบด้าน ไทยอาจตกเป็นเป้าหมายของมาตรการกีดกันทางการค้าจากสหรัฐ และต้องเผชิญกับแรงกดดันที่เพิ่มขึ้นจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและทั่วโลก ซึ่งอาจส่งผลกระทบอย่างหนักต่อภาคธุรกิจและเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว

"ตอนนี้เราจะรอโอกาสไม่ได้ ต้องสร้างโอกาสร่วมกัน ไม่เช่นนั้น ความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยจะกระทบแน่ และ Special Team ต้องทำงานร่วมกันทั้งรัฐและเอกชนอย่างเร่งด่วน การมีข้อมูลและเดินหน้าทางเดียวกันจะทำให้เรามีทางออก สำหรับเอกชน หอการค้าไทย AMCHAM และ US Chamber of Commerce ก็มีการจัดงาน “Thailand - US Investment Forum 2025” ในวันที่ 19 - 20 พฤษภาคม 2568 นี้ เพื่อเสริมความสัมพันธ์อันดีและศักยภาพเศรษฐกิจระหว่างกัน รวมถึงมอบหมายให้ ดร.พจน์ อร่ามวัฒนานนท์ รองประธานคนที่ 1 จัดคณะฯนำนักธุรกิจไทย ไปร่วมงาน Select USA 2025 ระหว่างวันที่ 11 – 14 พฤษภาคม 2568 ณ มลรัฐแมริแลนด์ สหรัฐอเมริกา เพื่อหาแนวทางในการลงทุนร่วมกัน" นายสนั่น กล่าวทิ้งท้าย