กกร.ห่วงสหรัฐฯขึ้นภาษีฉุดส่งออกไทย ชี้เศรษฐไทยอ่อนแรง-ปี 68 ความเสี่ยงสูง

05 มี.ค. 2568 | 13:47 น.
อัปเดตล่าสุด :05 มี.ค. 2568 | 13:47 น.

กกร.ห่วงมาตรการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐอเมริกาฉุดส่งออกไทย แนะรัฐเร่งบูรณาการข้อมูลการค้าทุกมิติ และกำหนดยุทธศาสตร์รับมือ ชี้เศรษฐไทยอ่อนแรงหลังจีดีพีไตรมาส 4/67 ขยายแค่ 3.2% ระบุปี 68 ความเสี่ยงสูง

นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ประธานการประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) เปิดเผยว่า ที่ประชุม กกร. ยังมีความกังวลต่อการดำเนินนโยบายจัดเก็บภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ที่อาจส่งผลกระทบต่อภาพรวมการส่งออกของไทย 

โดยล่าสุดสหรัฐฯ มีการประกาศปรับขึ้นภาษีนำเข้าเหล็กและอลูมิเนียมจาก 10% เป็น 25% และยกเลิกข้อยกเว้นรายประเทศ ข้อตกลงตามโควตา รวมทั้งยกเลิกการยกเว้นภาษีแบบรายสินค้า ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 12 มีนาคม 2568 ทำให้ผู้ประกอบการไทยที่มีการส่งออกเหล็กและอลูมิเนียมไปยังสหรัฐฯ จะต้องแบกรับภาระภาษีนำเข้าที่เพิ่มขึ้น 

ดังนั้น กกร. จึงเสนอขอให้ภาครัฐเร่งมีการบูรณาการข้อมูลการค้าในทุกมิติระหว่างไทยและสหรัฐฯ เช่น ดุลการค้า ดุลภาคบริการและดิจิทัล ดุลภาคขนส่ง ดุลภาคการศึกษา เป็นต้น เพื่อนำมาวิเคราะห์กำหนดท่าทีร่วมกับภาคเอกชน ในการเจรจาการค้าระหว่าง 2 ประเทศ 

รวมถึงกำหนดยุทธศาสตร์ในการรับมือนโยบายปรับขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ และผลกระทบจากสงครามการค้า เพื่อบรรเทาผลกระทบของผู้ประกอบการและสร้างโอกาสทางการค้าใหม่ๆ ลดการพึ่งพาตลาดเดิม

กกร.ห่วงสหรัฐฯขึ้นภาษีฉุดส่งออกไทย ชี้เศรษฐไทยอ่อนแรง-ปี 68 ความเสี่ยงสูง  

“สหรัฐฯ มีแนวโน้มจะปรับขึ้นภาษีนำเข้าทั้งแบบเจาะจง และแบบครอบคลุมวงกว้างเพิ่มเติม โดยได้ประกาศเก็บภาษีนำเข้าเหล็กและอลูมิเนียม และเตรียมขึ้นภาษีนำเข้าจากสินค้ากลุ่มรถยนต์ เซมิคอนดักเตอร์ และยา รวมทั้งมีแผนเก็บภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariff) กับประเทศต่างๆ ในวงกว้างสำหรับสินค้าที่สหรัฐฯ เสียเปรียบจากการถูกเก็บภาษีนำเข้าในอัตราสูง ซึ่งอาจทำให้สินค้าไทยมีต้นทุนภาษีเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 6-8% โดยสงครามการค้าได้กดดันเศรษฐกิจสหรัฐฯ จากการบริโภคและภาคบริการที่ชะลอลง ส่วนภาคอุตสาหกรรมยุโรปและญี่ปุ่นต่างหดตัวต่อเนื่อง”

ด้านเศรษฐกิจไทยส่งสัญญาณอ่อนแรงลง สะท้อนผ่านจีดีพีไตรมาส 4/2567 ที่ขยายตัวเพียง 3.2% ต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ที่ราว 4.0% ส่งผลให้ทั้งปี 2567 จีดีพีขยายตัวเพียง 2.5% ต่ำกว่าระดับศักยภาพ 

โดยสาเหตุหลักมาจากการผลิตสินค้าอุตสาหกรรมที่หดตัว สวนทางกับการส่งออกที่ยังขยายตัวดี เป็นเพราะปัญหาเชิงโครงสร้างและการแข่งขันรุนแรงจากสินค้าต่างประเทศในหลายอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ เช่น รถยนต์ เคมีภัณฑ์ ยางและพลาสติก อิเล็กทรอนิกส์ วัสดุก่อสร้าง เป็นต้น

เศรษฐกิจไทยปี 2568 เผชิญความเสี่ยงสูง สำนักวิจัยในต่างประเทศปรับลดประมาณการจีดีพีไทยลงเหลือ 2.6% จากเดิมอยู่ที่ 2.7% ท่ามกลางความเสี่ยงจากนโยบายการค้า และแรงกดดันต่อภาคการผลิตที่จะยังมีต่อเนื่อง 

ส่วนอุปสงค์ภายในประเทศยังเปราะบาง สอดคล้องกับมุมมองของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่นำไปสู่การลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ทั้งนี้ มาตรการเพิ่มเติมเพื่อลดผลกระทบและประคองการเติบโตทั้งในระยะสั้นและระยะยาวมีความจำเป็น โดยเฉพาะการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงนโยบายการค้าโลก การเร่งเบิกจ่ายงบประมาณ การลดต้นทุนผู้ประกอบการ และการยกระดับภาคการผลิตให้แข่งขันได้ในระยะยาว

“กกร.ประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 68 จะขายตัวที่ 2.4-2.9 ส่งออกอยู่ที่ 1.5-2.5 ขณะที่เงินเฟ้ออยู่ที่ 0.8-1.2“

อย่างไรก็ดี ที่ประชุม กกร. เห็นด้วยกับการที่ธปท. ขยายระยะเวลาลงทะเบียนให้กับลูกหนี้รายย่อยและ SMEs ที่เปราะบางเข้าร่วมโครงการคุณสู้ เราช่วย ถึงวันที่ 30 เมษายน 2568 เพื่อเพิ่มโอกาสให้ลูกหนี้ได้รับการช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยและ SMEs ขนาดเล็กมากขึ้น 

ซึ่งจะสามารถครอบคลุมลูกหนี้จำนวน 2.1 ล้านบัญชี และมียอดหนี้รวมประมาณ 8.9 แสนล้านบาท โดยขณะนี้มียอดจำนวนลูกหนี้ลงทะเบียนถึงวันที่ 16 กุมภาพันธ์ อยู่ที่ 8.2 แสนราย หรือคิดเป็น 9.9 แสนบัญชี โดยโครงการประกอบด้วย 3 มาตรการ ประกอบด้วย 

  • มาตรการจ่ายตรง คงทรัพย์ สำหรับลูกหนี้ของธนาคารพาณิชย์ บริษัทในกลุ่มธุรกิจทางการเงินและสถาบันการเงินเฉพาะกิจที่เข้าร่วมโครงการ 
  • มาตรการจ่าย ปิด จบสำหรับลูกหนี้ของธนาคารพาณิชย์ บริษัทในกลุ่มธุรกิจทางการเงิน สถาบันการเงินเฉพาะกิจ และ Non-Bank ที่เข้าร่วมโครงการ 
  • มาตรการลดผ่อน ลดดอกสำหรับลูกหนี้ของ Non-Bank ที่เข้าร่วมโครงการ

“โครงการ คุณสู้ เราช่วย เป็นการปรับโครงสร้างหนี้เพื่อลดภาระการผ่อนอย่างมีนัยสำคัญให้กับลูกหนี้ เป็นมาตรการชั่วคราวที่ยาวถึง 3 ปี เพียงพอในการสนับสนุนและรองรับกับมาตรการระยะถัดไปของภาครัฐในการเข้ามาปฏิรูปเชิงโครงสร้างด้านต่างๆ ที่จะแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนได้อย่างยั่งยืน เช่น การมีข้อมูลเครดิตที่ครบถ้วนจากทุกผู้ให้บริการสินเชื่อในฐานข้อมูลของ NCB การทำฐานข้อมูลหนี้นอกระบบ การยกระดับและการรับรองฝีมือแรงงานเพื่อรายได้ครัวเรือนที่สูงขึ้น และการสร้างความสามารถในการแข่งขันและการค้าที่เป็นธรรมให้กับ SMEs เป็นต้น”