สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เปิดเผยข้อมูล สถานการณ์ความยากจนของไทย ในช่วงของการแถลงภาวะสังคมไทย ไตรมาสสุดท้ายของปี 2567 ว่า สถานการณ์ความยากจนหลายมิติของประเทศไทยในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง
โดยปี 2566 มี "คนจนหลายมิติ" (มิติการศึกษา มิติการใช้ชีวิตในแบบที่ดีต่อสุขภาพ มิติความเป็นอยู่ และมิติความมั่นคงทางการเงิน) จำนวน 6.13 ล้านคน หรือคิดเป็นสัดส่วน 8.76% จากประชากรทั้งหมด ทำให้ตัวเลขในระหว่างปี 2558 – 2566 ประเทศไทยมีสัดส่วนคนจนหลายมิติลดลงมากกว่าครึ่งหนึ่งแล้ว
อย่างไรก็ดีแม้ว่า สถานการณ์ปัจจุบัน ประเทศไทยจะบรรลุเป้าหมายในการลดสัดส่วนคนจนหลายมิติ โดยมีสัดส่วนคนจนหลายมิติลดลงมากกว่าครึ่งหนึ่งแล้ว แต่สถานการณ์ความยากจนหลายมิติยังมีข้อค้นพบที่น่าสนใจและความท้าทายหลายด้าน ดังนี้
แม้ว่าคนจนหลายมิติในประเทศไทยจะลดลงได้อย่างรวดเร็ว แต่ประเทศไทยยังมีคนจนอยู่อีกจำนวนมาก โดยในปี 2566 ยังมีคนจนหลายมิติจำนวนกว่า 6.13 ล้านคน ทั้งนี้ คนจนในประเทศไทยอาจสามารถ แบ่งออกได้เป็น 3 รูปแบบ ได้แก่
โดยปี 2566 ประเทศไทยมีคนจนรวมทั้งสิ้น 7.17 ล้านคน เป็นคนจนหลายมิติเพียงอย่างเดียว 4.78 ล้านคน และเป็นคนจนเงินเพียงอย่างเดียว 1.04 ล้านคน ขณะที่คนจน ที่มีปัญหาทั้ง 2 ด้านมีจำนวน 1.35 ล้านคน
สะท้อนให้เห็นว่ายังมีคนไทยอีกจำนวนมากที่ยังประสบปัญหาด้านคุณภาพชีวิต และยังมีคนจนอีกกว่า 18.8% ที่ประสบปัญหาทั้งคุณภาพชีวิตและการเงิน ซึ่งถือเป็นกลุ่มที่มีปัญหาที่ซับซ้อนกว่าคนกลุ่มอื่น และอาจสามารถหลุดพ้นจากความยากจนได้ยาก
จากข้อมูลพบว่า มีคนไทยอีกกว่า 24 ล้านคน ที่เสี่ยงต่อการเป็นคนจนหลายมิติ เพราะเมื่อพิจารณาคนจนหลายมิติตามระดับความรุนแรง พบว่า คนจนหลายมิติโดยส่วนใหญ่เป็นคนจนน้อย โดยมีความขัดสนมากกว่า 1 มิติ แต่ไม่ถึง 2 มิติ จาก 4 มิติ สะท้อนให้เห็นว่าประเทศไทยมีโอกาสมากในการลดจำนวนคนจนหลายมิติลงได้อีก
อย่างไรก็ตาม ในทางกลับกัน ประเทศไทยมีคนที่เสี่ยงจะตกเป็นคนจนหลายมิติอีกจำนวนกว่า 24 ล้านคน หรือคิดเป็นสัดส่วน 34.7% ของประชากรทั้งประเทศ ซึ่งกลุ่มนี้ถือเป็นกลุ่มเสี่ยงที่อาจกลายเป็นคนจนหลายมิติได้ง่าย
โดยหากพิจารณาคนกลุ่มนี้ พบว่า ส่วนใหญ่อยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคกลาง และมีรูปแบบความขัดสนคล้ายกับคนจนหลายมิติในภาพรวม กล่าวคือ มีความขัดสนในด้านการมีบำเหน็จ/บำนาญมากที่สุด รองลงมาเป็นการกำจัดขยะและการถือครองสินทรัพย์
ทั้งนี้ หากพิจารณาคนกลุ่มนี้โดยจำแนกเป็นรายภาค จะพบว่า คนเกือบจนในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีสัดส่วนของคนที่ขัดสนด้านการมีบำเหน็จ/บำนาญ เท่ากัน และสูงถึง 70.5% ต่างกับภูมิภาคอื่นที่เฉลี่ยอยู่ที่ 57.4%
การแก้ปัญหาความยากจนหลายมิติต้องให้ความสำคัญกับการสร้างความมั่นคงทางการเงิน ซึ่งยังมีข้อจำกัดหลายประการ โดยเมื่อพิจารณาอัตราการส่งผลต่อความยากจนหลายมิติ พบว่า มิติที่ส่งผลต่อความยากจนหลายมิติของคนไทยมากขึ้น คือ ความมั่นคงทางการเงิน ซึ่งที่ผ่านมาภาครัฐจะมีความพยายามในการสร้างการตระหนักรู้ และสร้างองค์ความรู้ด้านการเงิน รวมถึงการวางแผนเกษียณอายุให้แก่ประชาชนอย่างต่อเนื่อง
อีกทั้งยังได้พยายามสร้างหลักประกันรายได้ในยามเกษียณให้แก่ประชาชนทุกกลุ่มผ่านกลไกต่าง ๆ แต่ยังพบว่า ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการเงินทั้งในปัจจุบันและในยามเกษียณ ยังถือเป็นปัจจัยเสี่ยงหลักที่ส่งผลให้เกิดความยากจน แม้ว่าคนไทยจะมีบำเหน็จ/บำนาญรองรับยามเกษียณกันมากขึ้นกว่าในอดีต แต่สัดส่วนคนจนหลายมิติที่ไม่มีบำเหน็จ/บำนาญ อยู่ในอันดับสูงที่สุดมาตั้งแต่ปี 2560 โดยปี 2566 สัดส่วนอยู่ที่ 7.06%
โดยปัจจุบันยังมีข้อจำกัดในการจูงใจให้แรงงานที่ส่วนใหญ่อยู่นอกระบบให้เข้ามาอยู่ในระบบ อีกทั้งรูปแบบการทำงาน ที่เปลี่ยนแปลงไปของคนรุ่นใหม่ยังอาจทำให้แรงงานในอนาคตมีความเสี่ยงที่จะไม่มีหลักประกันในยามเกษียณ
ขณะเดียวกัน มิติความมั่นคงทางการเงินยังครอบคลุมถึงการออม และภาระทางการเงิน ซึ่งสถานการณ์ทางเศรษฐกิจในปัจจุบันที่มีความไม่แน่นอนสูง ประกอบกับระดับของหนี้สินครัวเรือนที่ยังคงสูง อาจส่งผลให้ครัวเรือนมีภาระทางการเงินเพิ่มขึ้นและมีการออมลดลงได้
การใช้นโยบายที่เหมือนกันในทุกพื้นที่ อาจไม่สามารถแก้ปัญหาความยากจนหลายมิติได้อย่างตรงจุด เมื่อพิจารณาปัจจัยที่ส่งผลต่อความยากจนหลายมิติจำแนกตามภูมิภาค พบว่า ความมั่นคงทางการเงินเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อคนในกรุงเทพมหานครมากที่สุด
รองลงมา คือ ด้านความเป็นอยู่ และการศึกษา ขณะที่ในภูมิภาคอื่น มิติด้านความเป็นอยู่ เป็นมิติที่ส่งผลต่อความยากจนหลายมิติมากที่สุดรองลงมา คือ ความมั่นคงทางการเงินและการใช้ชีวิตในแบบที่ดีต่อสุขภาพ ตามลำดับ
นอกจากนี้ เมื่อพิจารณาเป็นรายจังหวัด พบว่า แม้ว่าจังหวัดจะมีพื้นที่ติดกัน แต่อาจมีปัญหาที่แตกต่างกัน อาทิ จังหวัดพิษณุโลกและอุตรดิตถ์ โดยจังหวัดพิษณุโลกมีปัญหาด้านการกำจัดขยะมากที่สุด ขณะที่จังหวัดอุตรดิตถ์ มีปัญหาการขาดบำเหน็จบำนาญ สะท้อนให้เห็นว่าการดำเนินนโยบายในแต่ละพื้นที่ควรมีการจัดลำดับความสำคัญที่แตกต่างกันตามสภาพปัญหาที่เกิดขึ้น
ขณะเดียวกัน การแก้ไขปัญหาใดปัญหาหนึ่งเพียงอย่างเดียว อาจไม่สามารถแก้ไขปัญหาความยากจนหลายมิติได้เนื่องจากบางปัญหามีความเชื่อมโยงกัน เช่น การมีภาระทางการเงินที่อาจมีผลต่อการออม การถือครองทรัพย์สินและความขัดสนในด้านอาหาร เป็นต้น