“พิชัย” ถก 3 หน่วยงาน วางนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ ดันจีดีพีโต 3.5%

27 ก.พ. 2568 | 17:27 น.
อัปเดตล่าสุด :27 ก.พ. 2568 | 17:34 น.

“พิชัย” รองนายกฯ และรมว.คลัง ถก ”สศค.-ธปท.-สภาพัฒน์“ วาง Master Plan กระตุ้นเศรษฐกิจ ดันจีดีพีปี 67 โตตามเป้าหมาย 3.5 %

นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวระหว่างการประชุม ร่วมกับ 3 หน่วยงาน ได้แก่ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย และสภาพัฒน์ ว่า หากประเทศไทยสามารถรักษาโมเมนต์ตัม และสามารถปรับปรุงในส่วนที่เรายังขาดอยู่ได้ เชื่อว่าเศรษฐกิจของประเทศในปีนี้จะสามารถขยายตัวได้มากกว่า 3 % 

โดยจากตัวเลขเศรษฐกิจ ในปี 2567 ที่สภาพัฒน์แถลงว่าเศรษฐกิจไทยมีการขยายตัวในอัตรา 2.5 % ของ GDP  ซึ่งสาเหตุส่วนหนึ่งมาจากการที่ GDP ในไตรมามที่หนึ่งและสอง อยู่ในอัตราที่ต่ำกว่า 2% เนื่องจากเม็ดเงินงบประมาณไม่ไหลเข้าระบบเศรษฐกิจ หลังจากพรบ.งบประมาณรายจ่ายปี 2567 ออกมาล่าช้ากว่ากำหนด

อย่างไรก็ตาม จากนั้นในช่วงไตรมาสที่สามและสี่ เมื่อเม็ดเงินภาครัฐสามารถไหลเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ การขยายตัวของเศรษฐกิจในไตรมาสที่สาม และสี่ ของปีที่แล้ว จึงสามารถขยายตัวได้ 3 และ 3.2 % ตามลำดับ ทำให้การขยายตัวของ GDP ในครึ่งหลังของปี 2567 อยู่ที่ 3.1 %

“การตั้งเป้าหมายเศรษฐกิจในปีนี้ ที่ 3-3.5% ถือเป็นเป้าหมายที่ท้าทาย โดยนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี อยากเห็นเศรษฐกิจในปีนี้ไปถึงเป้าหมายดังกล่าว“

สำหรับการจะผลักดันให้ไปถึงเป้าหมายดังกล่าวนั้น จะต้องมีหลายปัจจัยที่เกี่ยวข้อง ซึ่งเราไม่สามารถทำแบบเดิม เช่น การผลักดันงบประมาณเพื่อกระตุ้นการบริโภค และการลงทุน ซึ่งนั่นอาจเป็นส่วนหนึ่งของแผน ดังนั้นเราจึงจำเป็นต้องทำ Master plan ในการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ  โดยการกำหนดโครงสร้างการผลิต โครงสร้างการลงทุน เพื่อให้เกิดการจ้างงาน เกิดรายได้ ทั้งในประเทศและนอกประเทศ

ทั้งนี้ จะต้องมาพิจารณาถึงจุดแข็งของประเทศไทย ว่าคืออะไร ถ้าเริ่มตั้งแต่ในสมัยรัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสิน  ทำ Ignite Thailand นั่นก็เป็นการจับจุดแข็งของประเทศ ในแง่การเป็นศูนย์กลางของภูมิภาคนี้ และเรามีคนที่มีอัธยาศัยดี และมีแหล่งท่องเที่ยวที่ดึงดูด เราจึงมาเน้นการสร้างรายได้จากการท่องเที่ยว ซึ่งการลงทุนเพื่อพัฒนาการท่องเที่ยวอาจจำเป็นต้องมีการลงทุนเพื่อพัฒนาสนามบินในเมืองรองของประเทศ เป็นต้น

ขณะที่จุดอ่อนของเราในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ  คือ เรามีงบประมาณจำกัด แต่การแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างบางเรื่อง เช่น ในภาคการเกษตรที่เราแข่งขันไม่ได้ทั้งด้านราคาและปริมาณ

“เราเป็นประเทศเกษตรกรรม แต่มีสินค้าเกษตรที่เป็นตัวหลักประมาณ  5 ตัว ซึ่งไม่สามารถแข่งขันกับตลาดโลกได้ ในเชิงต้นทุนก็สูงหรือด้านราคาก็แข่งขันไม่ได้ ซึ่งส่วนหนึ่งอาจมีผลของอัตราแลกเปลี่ยนที่เราสู้กับประเทศอื่นไม่ได้ ดังนั้นเราจะทำอย่างไรเพื่อให้สินค้าเหล่านั้น สามารถแข่งขันได้ทั้งในด้านปริมาณและราคา“

นอกจากนี้ ได้ยกตัวอย่าง กรณีข้าว ที่เมื่อวันที่ 26 ก.พ.ที่ผ่านมา นบข. ได้ตั้งคณะทำงาน เพื่อสำรวจข้อมูลทั้งด้านการบริโภคภายในประเทศ และการส่งออก ว่า เป็นข้าวประเภทใดบ้าง และราคาอยู่ในระดับใด เพื่อให้เป็นข้อมูลประกอบการกำหนดนโยบายต่อไป