นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นมีอยู่หลายปัจจัย สิ่งที่กระทรวงการคลังทำได้ ก็พยายามทำในทุกๆ เรื่อง หนึ่งในนั้น คือ เรื่องการเปลี่ยนการถือหน่วยลงทุนกองทุนจากกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) มาสู่ Thai ESG ขณะนี้กระทรวงการคลังอยู่ระหว่างเร่งศึกษารายละเอียด ซึ่งจะมีการตั้งกองทุนใหม่ขึ้นมา และมีมาตรการออกมาเพื่อรองรับการเปลี่ยน LTF มาเป็น Thai ESG คาดว่าจะออกมาภายในไตรมาส 1 ของปีนี้
“เรายังไม่อยากเห็นการเทขาย LTF ในช่วงนี้ เพราะราคาก็ไม่ดีอยู่แล้ว หากมีการขายก็เป็นการซ้ำเติมตลาดด้วย โดยมาตรการลงทุน Thai ESG รับสิทธิลดหย่อนภาษี 3 แสนบาท ยังอยู่ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการดำเนินการดังกล่าว แต่สิ่งที่เราจะทำ คือ ดูแล LTF ที่จะครบกำหนดวันนี้ จะมีมาตรการมารองรับ สำหรับผู้ที่ยังไม่ขายหน่วยลงทุน และเปลี่ยนมาอยู่ใน Thai ESG จะได้รับสิทธิประโยชน์”
ทั้งนี้ ในเรื่องสิทธิประโยชน์นั้น ขอให้รอดูการออกแบบ ซึ่งทีมงานอยู่ระหว่างศึกษารายละเอียด โดยขณะนี้เม็ดเงินในกองทุน LTF ที่ครบกำหนดในสิ้นปีนี้มีจำนวนกว่า 2.4 แสนล้านบาท ซึ่งขณะนี้มีนักลงทุนทยอยขายออก เหลือวงเงินประมาณ 1.8 แสนล้านบาท โดยการขายหน่วยลงทุนนั้น เฉลี่ยขาดทุนประมาณ 5-10%
ส่วนนโยบายในการลงทุนของ Thai ESG ใหม่นั้น เราจะสร้างขึ้นมาใหม่ ผู้ที่เกี่ยวข้องกำลังออกแบบกองทุน ว่านโยบายการลงทุนของกองจะลงทุนเน้นไปส่วนใด รูปแบบอาจจะไม่ได้เหมือนการลงทุนในกองทุน Thai ESG ในปัจจุบัน ส่วนจะลงทุนในหุ้นต่างประเทศ หรือต่างประเทศนั้น มองว่าน่าจะอยากให้ลงทุนในต่างประเทศมากกว่า โดยเรามีโจทย์ต้องการส่งเสริมการออมระยะยาว
“เรื่องการจูงใจการลงนั้น หากดูยอดการลงทุนในแต่ละปี คนจะคุ้นเคยกับ LTF ซึ่งเฉลี่ยในแต่ละปีมีการซื้อกองทุน LTF เม็ดเงินรวม 2.5-3 หมื่นล้านบาท ขณะที่การลงทุนในกองทุน Thai ESG ครั้งแรกเมื่อปีที่ผ่านมา มียอดการซื้อหน่วยลงทุนเม็ดเงินรวม 2.7 หมื่นล้านบาท ซึ่งถือว่ามีตัวเลขใกล้เคียงกัน ถือว่าสามารถทดแทนกันได้”