นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ถึงประเด็นการประกาศขึ้นภาษีประเทศที่เกินดุลการค้าสหรัฐอเมริกาของโดนัลด์ ทรัมป์ ว่า ประเทศไทยมีความเสี่ยงเช่นเดียวกันที่จะถูกปรับขึ้นภาษีในสินค้าบางประเภท
ทั้งนี้ เนื่องจากล่าสุดไทยเป็นประเทศที่เกินดุลสหรัฐเป็นลำดับที่ 10 อยู่ที่ประมาณ 4.1 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ จากเดิมที่ปี 62 สมัยที่ทรัมป์เป็นประธานาธิบดีสมัยแรกไทยอยู่ลำดับที่ 14 ซึ่งเกินดุลอยู่ประมาณ 2 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ
โดยถือว่าไทยเป็นประเทศอันดับ 2 ในอาเซียนรองจากเวียดนามที่เกินดุลการค้าจากสหรัฐ ดังนั้น จึงเป็นประเทศที่มีความเสี่ยง และน่าจะถูกจับตามองตามลำดับของการเกินดุล
“มีการคาดการณ์ว่าไทยน่าจะถูกปรับขึ้นภาษีภายใน 2-3 เดือนที่จะถึงนี้ หรือประมาณเดือนเมษายน ซึ่งต้องเรียนว่าไม่มีผู้ใดที่จะรู้ หรือระบุได้อย่างชัดเจน แต่แน่นอนว่าไทยมีโอกาสที่จะถูกปรับขึ้นภาษี เพราะเป็นประเทศที่ค่อนข้างโดดเด่นในการได้ดุลจากสหรัฐ”
อย่างไรก็ดี หากถามว่าสหรัฐฯจะเอาจริงหรือเป็นเพียงแค่คำขู่ ในความคิดเห็นส่วนตัวมองว่า การดำเนินการในรูปแบบดังกล่าวเป็นกลยุทธ์ หรือแนวทางที่ทรัมป์ถนัด และใช้บ่อย โดยเรียกว่าเป็นการดำเนินการจริงเพื่อเรียกประเทศเหล่านั้นเข้ามาเจรจา แลกเปลี่ยนผลประโยชน์ ยกตัวอย่างเช่น ในอดีตสหรัฐมีการเนรเทศชาวโคลัมเบียออกนอกประเทศโดยใช้เครื่องบินทหาร แต่ถูกโคลัมเบียโวยวายว่าเป็นการไม่ให้เกียรติ และเป็นการปฏิบัติแบบไม่สุภาพ
ซึ่งเมื่อโคลัมเบียโวยวายหนักขึ้น ทรัมป์จึงประกาศขึ้นภาษี 25% แต่หากยังไม่หยุดโวยวายจะปรับภาษีขึ้นเป็น 50% โคลัมเบียจึงต้องยอมสงบ และส่งเครื่องบินจากประเทศตนเองไปรับผู้ที่ถูกเนรเทศกลับมา เช่นเดียวกับกรณีของแคนาดากับแม็กซิโกเมื่อประกาศจะขึ้นภาษี 25% จึงทำให้เกิดการเจรจาระหว่างกัน และทำให้มีการชะลอออกไปก่อนในที่สุด
สอดล้องกับกรณีของไทยและจีน ซึ่งมองว่าสหรัฐฯเองต้องการจะเปลี่ยนรูปแบบการเจรจาจากพหุภาคีเป็นทวิภาคี เรียกเจรจาเป็นรายประเทศเพื่อต่อรองผลประโยชน์ แลกเปลี่ยนกัน
นายเกรียงไกร กล่าวต่ออีกว่า จากสถานการณ์ดังกล่าวไทยจะต้องมาพิจารณาว่าตัวเลขที่เกินดุลมาจากส่วนใด และอธิบายให้สหรัฐฯเข้าใจว่าเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น โดยเท่าที่ทราบการเกินดุลของไทยส่วนใหญ่เพิ่มขึ้นจากบริษัทสหรัฐฯที่มาตั้งฐานการผลิตในไทย เช่น บริษัท ซีเกท เทคโนโลยี (Seagate Technology) ซึ่งผลิตชิฟ และฮาร์ดดิสก์ไดร์ฟที่ปัจจุบันมีการใช้งานมากขึ้น ไทยจะต้องชี้แจงให้ได้ว่า กรณีดังกล่าวสหรัฐฯป็นผู้ได้ประโยชน์จากภาษี ไม่ควรนำมารวมกับส่วนที่ไทยเกินดุล เป็นต้น เพราะหากหักส่วนดังกล่าวเหล่านี้ออกไปไทยจะเกินดุลไม่มากเท่าใดนัก
นอกจากนี้ ไทยจะต้องทำการบ้านอย่างรอบครอบ โดยดูว่ามีสินค้าอะไรที่จะสามารถซื้อจากสหรัฐฯเพิ่มขึ้นได้บ้าง เช่น สินค้าทางการเกษตร ข้าวโพด กากถั่วเหลือง ธัญพืช เพื่อนำเข้ามาทำอาหารสัตว์ รวมถึงกลุ่มปิโตรเคมี แะในอนาคตอาจจะมองเรื่องของการซื้ออาวุธ หรือเครื่องบิน ซึ่งทุกภาคส่วนจะต้องช่วยกันเพื่อไม่ให้เกิดการเกินดุลมากเกินไป ซึ่งจะช่วยทำให้ได้ประโยชน์ (Win-Win) ทั้ง 2 ประเทศ
“ส่วนที่มองว่าสำคัญที่สุดก็คือผู้ที่จะทำหน้าที่ในการเจรจา หรือล็อบบี้ยิสต์ (Lobbyist) จะต้องเก่ง สามารถนำเสนอ และพูดคุยต่อรองได้เป็นอย่างดี”