โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ลงนามในบันทึกประธานาธิบดี ประกาศ "แผนการค้าที่เป็นธรรมและต่างตอบแทน" (Fair and Reciprocal Plan) เพื่อฟื้นฟูความเป็นธรรมในความสัมพันธ์ทางการค้าของสหรัฐฯ และต่อต้านข้อตกลงทางการค้าที่ไม่ต่างตอบแทน
ทำเนียบขาวระบุว่า แม้สหรัฐฯ จะเป็นหนึ่งในประเทศที่มีระบบเศรษฐกิจเปิดมากที่สุดในโลกและมีอัตราภาษีศุลกากรเฉลี่ยต่ำที่สุด แต่กลับถูกคู่ค้าทั้งมิตรและศัตรูปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรมมาเป็นเวลานาน ส่งผลให้สหรัฐฯ ขาดดุลการค้าสินค้าต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2518 โดยในปี 2567 ขาดดุลสูงถึงกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์
"หมดยุคที่อเมริกาจะถูกเอาเปรียบแล้ว" ประธานาธิบดีทรัมป์กล่าว แผนนี้จะให้ความสำคัญกับคนงานอเมริกันเป็นอันดับแรก ปรับปรุงความสามารถในการแข่งขันของเราในทุกภาคอุตสาหกรรม ลดการขาดดุลการค้าของเรา และเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจและความมั่นคงของชาติ
"อเมริกาจะไม่ทนต่อการปฏิบัติทางการค้าที่ไม่เป็นธรรมอีกต่อไป" เอกสารทำเนียบขาวระบุ สหรัฐฯ เป็นหนึ่งในประเทศที่มีระบบเศรษฐกิจเปิดมากที่สุดในโลก แต่คู่ค้าของเรากลับปิดตลาดของพวกเขาต่อการส่งออกของเรา การขาดการต่างตอบแทนนี้ไม่เป็นธรรมและส่งผลต่อการขาดดุลการค้าประจำปีที่มากและต่อเนื่องของเรา
ตัวอย่างความไม่เป็นธรรมที่ทำเนียบขาวชี้แจง เช่น ภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ สำหรับเอทานอลอยู่ที่เพียง 2.5% แต่บราซิลเก็บภาษีการส่งออกเอทานอลของสหรัฐฯ ที่ 18% ส่งผลให้ในปี 2567 สหรัฐฯ นำเข้าเอทานอลจากบราซิลมูลค่ากว่า 200 ล้านดอลลาร์ ในขณะที่สหรัฐฯ ส่งออกเอทานอลไปบราซิลเพียง 52 ล้านดอลลาร์
ภาษีศุลกากรเฉลี่ย MFN ของสหรัฐฯ สำหรับสินค้าเกษตรอยู่ที่ 5% แต่ภาษีเฉลี่ย MFN ของอินเดียอยู่ที่ 39% อินเดียยังเก็บภาษี 100% สำหรับรถจักรยานยนต์จากสหรัฐฯ ในขณะที่เราเก็บภาษีรถจักรยานยนต์จากอินเดียเพียง 2.4%
สหภาพยุโรปสามารถส่งออกอาหารทะเลทั้งหมดที่ต้องการมายังอเมริกา แต่สหภาพยุโรปห้ามการส่งออกอาหารทะเลจาก 48 รัฐของสหรัฐฯ แม้จะให้คำมั่นในปี 2563 ว่าจะเร่งการอนุมัติการส่งออกอาหารทะเล ส่งผลให้ในปี 2566 สหรัฐฯ นำเข้าอาหารทะเลจากสหภาพยุโรปมูลค่า 274 ล้านดอลลาร์ แต่ส่งออกเพียง 38 ล้านดอลลาร์
นอกจากนี้สหภาพยุโรปยังเก็บภาษี 10% สำหรับรถยนต์นำเข้า ในขณะที่สหรัฐฯ เก็บภาษีเพียง 2.5% การศึกษาในปี 2562 เมื่อพิจารณาจาก 132 ประเทศและสินค้ากว่า 600,000 รายการ พบว่าผู้ส่งออกสหรัฐฯ ต้องเผชิญกับภาษีที่สูงกว่าในกว่าสองในสามของการค้าทั้งหมด
การขาดการต่างตอบแทนนี้เป็นหนึ่งในสาเหตุของการขาดดุลการค้าสินค้าประจำปีที่มากและต่อเนื่องของอเมริกา ตลาดที่ปิดในต่างประเทศลดการส่งออกของสหรัฐฯ และตลาดที่เปิดในประเทศส่งผลให้มีการนำเข้าที่มีนัยสำคัญ ซึ่งทั้งสองอย่างบั่นทอนความสามารถในการแข่งขันของอเมริกา ส่งผลให้สหรัฐฯ ขาดดุลการค้าสินค้าทุกปีตั้งแต่ปี 2518 และในปี 2567 การขาดดุลการค้าสินค้าของสหรัฐฯเกิน 1 ล้านล้านดอลลาร์
นอกจากนั้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา สหรัฐฯ ขาดดุลการค้าภาคเกษตรมูลค่าประมาณ 4 หมื่นล้านดอลลาร์ในปี 2567 นอกจากนี้บริษัทอเมริกันยังต้องเสียภาษีบริการดิจิทัลให้ประเทศคู่ค้ากว่า 2 พันล้านดอลลาร์ต่อปี
เอกสารทำเนียบขาวระบุว่า ภาษีต่างตอบแทนจะนำความเป็นธรรมและความเจริญรุ่งเรืองกลับคืนมาสู่ระบบการค้าระหว่างประเทศที่บิดเบือนและหยุดการเอาเปรียบชาวอเมริกัน ภายใต้แผนใหม่นี้ รัฐบาลสหรัฐฯ จะตรวจสอบความสัมพันธ์ทางการค้าที่ไม่ต่างตอบแทนกับคู่ค้าทั้งหมด ครอบคลุมทั้งภาษีศุลกากร ภาษีที่ไม่เป็นธรรม อุปสรรคที่ไม่ใช่ภาษี และนโยบายที่บิดเบือนการค้า โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องจัดทำรายงานเสนอมาตรการแก้ไข และสำนักงานบริหารและงบประมาณจะต้องประเมินผลกระทบภายใน 180 วัน
ทำเนียบขาวยังระบุถึงผลงานด้านการค้าที่สำคัญในสมัยแรกของประธานาธิบดีทรัมป์ ซึ่งรวมถึงการยกเลิก NAFTA และแทนที่ด้วย USMCA การเก็บภาษีนำเข้าเหล็กและอลูมิเนียมเพื่อปกป้องความมั่นคงของชาติ การบรรลุข้อตกลงเศรษฐกิจทวิภาคีกับจีน และล่าสุดการใช้ภาษีเป็นอำนาจต่อรองกับแคนาดาและเม็กซิโกในการปรับปรุงมาตรการที่ชายแดน
ที่มา: Fact Sheet: President Donald J. Trump Announces “Fair and Reciprocal Plan” on Trade