ส่งออกไทยป่วน “ภาษีเท่าเทียม” สหรัฐ ตลาด 1.9 ล้านล้านส่อวูบหนัก

12 ก.พ. 2568 | 04:53 น.

ส่งออกไทยอลหม่าน “ภาษีเท่าเทียม”สหรัฐ ผวาตลาด 1.9 ล้านล้านบาทวูบ ผู้เชี่ยวชาญชี้ 5 อันดับแรกกลุ่มสินค้าเสี่ยงสูงถูกขึ้นภาษี เข้าทางเวียดนาม มาเลย์ สิงคโปร์ชิงได้เปรียบไทย จากเก็บภาษีสหรัฐต่ำกว่า ค่ายรถผวากระทบทางอ้อม อีวีจีนล้นส่งถล่มตลาดไทย เหล็กจีนจ่อทะลักเพิ่ม

ป่วนไปทั่วโลก กับคำประกาศรายวันของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐอเมริกาคนใหม่ เฉพาะอย่างยิ่งการดำเนินมาตรการทางภาษีกับประเทศคู่ค้า อ้างเหตุผลเพื่อลดการขาดดุล และการทำการค้าที่ไม่เป็นธรรมกับสหรัฐ ล่าสุดประกาศจะเก็บภาษีนำเข้าแบบเท่าเทียมกับประเทศคู่ค้า (สหรัฐจะเก็บภาษีในอัตราเดียวกับที่ประเทศคู่ค้าเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐ) และประกาศจะจัดเก็บภาษีนำเข้าเหล็กและอลูมิเนียมในอัตรา 25%

เปิดโผ 5 กลุ่มสินค้าเสี่ยงสูง

รองศาสตราจารย์ ดร.อัทธ์ พิศาลวานิช ผู้เชี่ยวชาญเศรษฐกิจระหว่างประเทศและอาเซียน เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ”ว่า การประกาศจะเก็บภาษีในอัตราเท่าเทียมของโดนัลด์ ทรัมป์ เป็นทั้งคำขู่ และเพื่อให้เกิดการเจรจาต่อรอง สำหรับประเทศไทยขณะนี้เก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐโดยเฉลี่ย 10-15% ขณะที่สหรัฐเก็บภาษีนำเข้าสินค้าไทยเฉลี่ย 2-5% หากสหรัฐเก็บภาษีในอัตราเท่าเทียมจริงจะกระทบการส่งออกไทยไปสหรัฐลดลง(ปี 2567 ไทยส่งออกสินค้าไปสหรัฐ 1.92 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 15.6%)

อีกด้านหนึ่งสินค้าไทยจะเสียเปรียบสินค้าจากเวียดนาม มาเลเซีย และสิงคโปร์ ซึ่งเป็น 3 ประเทศอาเซียนที่เก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐต่ำกว่าไทย ทำให้ 3 ประเทศนี้จะถูกเก็บภาษีจากสหรัฐต่ำกว่าประเทศไทย

ส่งออกไทยป่วน “ภาษีเท่าเทียม” สหรัฐ ตลาด 1.9 ล้านล้านส่อวูบหนัก

ทั้งนี้ในกลุ่มสินค้า 5 อันดับแรกที่ไทยมีความเสี่ยงจะได้รับผลกระทบจากการขึ้นภาษีนำเข้าเท่าเทียมของสหรัฐ ได้แก่ 1.รถยนต์ และส่วนประกอบ 2.ผลิตภัณฑ์ยาง 3.เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ 4.เครื่องคอมพิวเตอร์, หม้อแปลงไฟฟ้า, อัญมณีและเครื่องประดับ,อาหารทะเลกระป๋อง(4 สินค้านี้ไทยเก็บภาษีสินค้าสหรัฐในอัตราเดียวกันคือ 0-10%) และ 5.เหล็กและผลิตภัณฑ์

 

รองศาสตราจารย์ ดร.อัทธ์ พิศาลวานิช ผู้เชี่ยวชาญเศรษฐกิจระหว่างประเทศและอาเซียน

“การเก็บภาษีเท่าเทียมของสหรัฐ จะมีการเก็บภาษีตอบโต้จากประเทศคู่ค้าแน่นอน แบบ “ตาต่อตา ฟันต่อฟัน” สิ่งที่จะเกิดขึ้นคือ 1.การส่งออกของไทยและทั่วโลกจะได้รับผลกระทบและอัตราการขยายตัว GDP จะลดลง 2.ห่วงโซ่การผลิตของโลกจะเกิดการเปลี่ยนแปลงจากสหรัฐฯ ไปสู่จีนและอาเซียนมากขึ้น และ 3. กลุ่ม BRICS จะเข้มแข็งมากขึ้น ประเทศที่จะเข้าร่วมมีมากขึ้น ซึ่งในส่วนของไทยควรตั้งทีมเจรจากับสหรัฐ เพื่อแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ แบบยื่นหมู ยื่นแมว”

หวั่นอีวีจีนล้นถล่มตลาดไทย

นายคริส เวลส์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท วอลโว่ คาร์ ประเทศไทย และประเทศมาเลเชีย เปิดเผยว่า ตอนนี้ยังไม่รู้รายละเอียดที่ชัดเจน เกี่ยวกับมาตรการต่าง ๆ ของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แต่บริษัทได้ติดตามสถานการณ์อยู่ตลอด หากว่าข้อกำหนดใหม่ไปตรงกับการทำธุรกิจ ก็ต้องมีการปรับตัว

วอลโว่ ยังจับตามาตรการการขึ้นภาษีรถยนต์ของสหรัฐอเมริกา แต่การที่บริษัทมีโรงงานผลิตรถยนต์ ทั้ง นอร์ทแคโรไลนา,สหรัฐอเมริกา โกเทนเบิร์ก,สวีเดน รวมถึงในยุโรป จีน และมาเลเซีย เชื่อว่าจะบริหารจัดการได้

“สิ่งที่น่ากังวลคือ หากสหรัฐอเมริกา กีดกันการนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้า BEV จากจีน อาจทำให้โรงงานผู้ผลิตรถยนต์ในจีนเกิดโอเวอร์ซัพพลาย ดังนั้น จำเป็นต้องระบายสต๊อกด้วยการส่งออก ซึ่งจุดหมายปลายทางก็คือ อาเซียน และประเทศไทย ย่อมส่งผลให้เกิดการแข่งขันที่สูงขึ้น” นายคริส เวลส์ กล่าว

แหล่งข่าวผู้บริหารระดับสูง บริษัทผู้ผลิตรถยนต์ญี่ปุ่น เปิดเผยว่า การขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐในอัตราที่สูงอาจกระทบกับการค้าโลก แต่จะมีผลต่ออุตสาหกรรมยานยนต์ไทยขนาดไหน คงต้องพิจารณาหลังจากมาตรการของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศออกมาอย่างชัดเจน

“นโยบายด้านภาษีของประธานาธิบดี ทรัมป์ อาจจะกระทบต่อมูลค่าการค้าของโลก ซึ่งอุตสาหกรรมยานยนต์ เป็นหนึ่งในเซ็คเตอร์ที่ต้องจับตา ส่วนการส่งออกรถยนต์ของไทยในภาพรวมปีนี้ มีแนวโน้มทรงตัวหรือลดลงเล็กน้อย”

เหล็กผวาสินค้าจีนทะลักเพิ่ม

นายบัณฑูรย์ จุ้ยเจริญ ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมเหล็ก สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เผยว่า สินค้าเหล็กของไทยส่งออกไปสหรัฐคงไม่ได้รับผลกระทบทางตรงมากนัก เนื่องจากในช่วงรัฐบาล “ทรัมป์ 1” ได้ถูกขึ้นภาษีนำเข้าในอัตรา 25% อยู่แล้ว ช่วงที่ผ่านมาไทยส่งออกสินค้าเหล็กไปสหรัฐต่ำกว่า 2 แสนตันต่อปี หรือมีมูลค่าเฉลี่ย 6,000-7,000 ล้านบาทต่อปี

อย่างไรก็ดีห่วงผลกระทบทางอ้อมจากสหรัฐขึ้นภาษีนำเข้าเหล็กจากจีน จะส่งผลให้สินค้าเหล็กจากจีนทะลักเข้ามายังไทยรวมถึงประเทศในอาเซียนเพิ่มขึ้น เนื่องจากจีนมีกำลังผลิตเหล็กประมาณ 1,100 ล้านตัน ใช้ในประเทศ 900 ล้านตัน เหลือส่งออกประมาณ 200 ล้านตัน หากถูกส่งมาไทยเพิ่มขึ้นจะซ้ำเติมอุตสาหกรรมเหล็กในประเทศที่เวลานี้ยังใช้กำลังการผลิตโดยรวมเฉลี่ยเพียง 29% โดยในปี 2567 ไทยมีความต้องการใช้เหล็ก 16.3 ล้านตัน มีการนำเข้า 11.4 ล้านตัน ในจำนวนนี้นำเข้าจากจีนเกือบ 5 ล้านตัน หรือคิดเป็น 44%

“นอกจากสินค้าเหล็กจีนที่เราต้องเตรียมรับมือแล้ว ยังจะมีสินค้าเหล็กจากประเทศอื่น ๆ ที่ได้รับผลกระทบจากสหรัฐขึ้นภาษี จะพยายามหาตลาดส่งออกใหม่เพิ่ม ซึ่งไทยเป็นหนึ่งในประเทศเป้าหมาย”

อัญมณีตั้งรับความเสี่ยง

ด้านนายสมชาย พรจินดารักษ์ ประธานสมาพันธ์สมาคมอัญมณี เครื่องประดับ และโลหะมีค่า(ประเทศไทย) กล่าวว่า อัญมณีและเครื่องประดับเป็นหนึ่งในสินค้าส่งออกสำคัญของไทยไปสหรัฐ (ปี 2567 ไทยส่งออกไป 69,217 ล้านบาท) ปัจจุบันไทยเก็บภาษีนำเข้าสินค้าอัญมณีฯจากสหรัฐ 0-10% ขณะที่สหรัฐเก็บภาษีจากไทย 0-5%

“หากสหรัฐเก็บภาษีนำเข้าในอัตราเท่าเทียมย่อมส่งผลกระทบต่อการส่งออกสินค้าอัญมณีฯของไทยไปยังตลาดสหรัฐอย่างแน่นอน จะยิ่งซ้ำเติมปัญหา เพราะเวลานี้เศรษฐกิจ การค้าโลกไม่ดี สินค้าอัญมณีฯเป็นสินค้าราคาสูงจะขายยากกว่าสินค้าเพื่อการบริโภคในชีวิตประจำวัน อย่างไรก็ตามคงต้องรอดูท่าทีของสหรัฐในเรื่องนี้ว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป”

เครื่องใช้ไฟฟ้าลุ้นไม่กระทบ

นายวิวัฒน์ชัย ศิริถาวร ผู้จัดการฝ่ายการตลาด บริษัท เอ็มดี คอนซูเมอร์ แอพพลายแอนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด หรือ ไมเดีย ประเทศไทย กล่าวว่า นโยบายของทรัมป์ ที่จะเก็บภาษีสินค้าเท่าเทียม ในจำนวนนี้ มี 2 รายการที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจหลักของบริษัท คือ เครื่องปรับอากาศและเครื่องใช้ไฟฟ้า ที่อยู่ในกลุ่มสินค้าส่งออกหลักของไทยไปสหรัฐในกลุ่ม 15 อันดับแรก หากมีการเก็บภาษีจริงทางแบรนด์คงได้รับผลกระทบไม่มากนัก

“การจัดเก็บภาษีเท่าเทียมตามนโยบายของทรัมป์ เชื่อว่าผลกระทบค่อนข้างน้อย ปัจจุบันยังไม่ได้มีการหารือกันอย่างเป็นทางการ แต่จะมีการเตรียมความพร้อมไว้เสมอ”

หมดยุคให้แต้มต่อด้านภาษี

นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) กล่าวว่า การเก็บภาษีอัตราเท่าเทียมกันตามที่โดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศ จากในอดีตสหรัฐ รวมถึงประเทศที่พัฒนาแล้ว หรือประเทศร่ำรวย จะให้แต้มต่อด้านภาษีนำเข้าแก่ประเทศกำลังพัฒนา แต่ในครั้งนี้จะเก็บภาษีเท่าเทียมซึ่งความหมายก็คือจะยกเลิกการให้แต้มต่อกับทุกประเทศ ซึ่งก็เป็นสิทธิ์ของสหรัฐที่สามารถทำได้

ในส่วนของไทยที่ต้องเร่งดำเนินการ คือ การเร่งหาตลาดใหม่เพื่อชดเชยตลาดสหรัฐที่มีความเสี่ยงส่งออกได้ลดลง จากอัตราภาษีที่อาจเพิ่มขึ้น ดังตัวอย่างประเทศจีน ที่เคยพึ่งพาการส่งออกไปยังตลาดสหรัฐเป็นอันดับ 1 ของการส่งออกคิดเป็นสัดส่วน 20% ของการส่งออกจีน แต่ปัจจุบันจีนได้หาตลาดใหม่ ปัจจุบันอาเซียนได้กลายเป็นคู่ค้าอันดับ 1 ของจีน ขณะที่ตลาดตามหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทางของจีน(BRI) ทั้งอเมริกากลาง ยุโรป เอเชีย ตะวันออกกลาง และอื่น ๆ ปัจจุบันมีสัดส่วนต่อการส่งออกของจีนมากกว่า 50%

เกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย

ในปี 2567 ล่าสุด จีนพึ่งพาตลาดสหรัฐลดลงเหลือ15% ของการส่งออก และตั้งเป้าจะลดลงอีก เพื่อลดแรงกดดันสงครามการค้ากับสหรัฐ ในส่วนของไทยในปีล่าสุด พึ่งพาตลาดสหรัฐเป็นอันดับ 1 คิดเป็นสัดส่วนถึง 18% ของการส่งออก ดังนั้นต้องเร่งหาตลาดใหม่ ๆ ชดเชยตลาดสหรัฐ รวมถึงในระยะสั้นนี้ต้องตั้งวอร์รูม และหาล็อบบี้ยิสต์เก่ง ๆ เพื่อเจรจากับสหรัฐเพื่อลดผลกระทบที่จะเกิดขึ้น ส่วนในระยะยาวคือเร่งปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมสู่ Next Gen Industry ที่เป็นอุตสาหกรรมเป้าหมายใหม่ ๆ ผลิตสินค้าที่มีมูลค่าสูง และเน้นเรื่องความยั่งยืน

“มีการคาดการณ์ว่าไทยน่าจะถูกสหรัฐปรับขึ้นภาษีภายใน 2-3 เดือนที่จะถึงนี้ หรือประมาณเดือนเมษายน ซึ่งต้องเรียนว่าไม่มีผู้ใดที่จะรู้ หรือระบุได้อย่างชัดเจน แต่แน่นอนว่าไทยมีโอกาสที่จะถูกปรับขึ้นภาษี เพราะเป็นประเทศที่ค่อนข้างโดดเด่นที่ได้ดุลการค้าจากสหรัฐ”นายเกรียงไกร กล่าว

7 สินค้าเสี่ยงภาษีเท่าเทียม

ด้านนายพันธ์ทอง ลอยกุลนันท์ ที่ปรึกษาด้านการพัฒนาและบริหารการจัดเก็บภาษี ในฐานะโฆษกกรมศุลกากร กล่าวว่า เวลานี้ภาษีที่เก็บจากสินค้านำเข้าของสหรัฐยังเป็นปกติ และการนำเข้า ส่งออก ระหว่างกันยังเป็นปกติอยู่ ทั้งนี้ หากสหรัฐปรับขึ้นอัตราภาษีอัตราเท่าเทียม ประเมินว่าสินค้าที่อาจได้รับผลกระทบ ได้แก่ 1. เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ 2. อาหารทะเลกระป๋องแปรรูป มีสัดส่วนกว่า 40% ของมูลค่าส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกา อาทิ ปลาทูน่ากระป๋อง และกุ้งกระป๋อง 3. ยางพารา 4. เสื้อผ้าและเครื่องนุ่งห่ม 5. สินค้าเกษตร 6. เครื่องประดับ และ 7. เฟอร์นิเจอร์