ลุ้นบาทอ่อนหลุด 35 หนุนทองแท่งในประเทศ  แตะ 50,000 บาท

08 ก.พ. 2568 | 06:45 น.
2.7 k

นายกสมาคมผู้ค้าทองฟันธง ราคาทองคำไตรมาส2  แตะ 3,000 ดอลลาร์ แค่เดือนเศษ ผลตอบแทนชนะทั้งเงินเฟ้อ หุ้น ด้าน YLG คาดเงินบาทอ่อนเหนือระดับ 35 หนุนราคาทองแท่ง มีโอกาสแตะ 50,000 บาท 

ราคาทองคำ ยังคงมีแรงหนุนจากการโยกย้ายเงินสู่สินทรัพย์ปลอดภัย เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากความไม่แน่นอน ท่ามกลางความกังวลต่อนโยบาย “America First” ของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดยเฉพาะนโยบายกำแพงภาษีและสงครามการค้า รวมถึงปัญหาความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ ทั้งยูเครน-รัสเซีย และทางฝั่งตะวันออกกลาง อีกทั้งทองคำในประเทศยังได้รับแรงหนุนจากค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลงด้วย 

ทั้งนี้ นับตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.-5 ก.พ.2568 ราคาทองคำขยับเป็นบวกทั้งตลาด Gold Spot และทองคำในประเทศ โดย Gold Spot ขยับบวกแล้ว 240.5 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือเพิ่มขึ้น 9.16% ทองแท่งบวก 2,850 บาทหรือเพิ่มขึ้น 6.69% และทองรูปพรรณบวก 2,804.6 บาท หรือเพิ่มขึ้น 6.75%

ลุ้นบาทอ่อนหลุด 35 หนุนทองแท่งในประเทศ  แตะ 50,000 บาท

ขณะที่ MTS GOLD ของห้างทองแม่ทองสุกรายงานทิศทางราคาทองคําว่าได้ทําสถิติสูงสุดใหม่ (All Time High) อย่างต่อเนื่องที่ระดับ 2,850 ดอลลาร์สหรัฐ นับเป็นการปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องกว่า 100 ดอลลาร์สหรัฐ ภายในเวลาเพียงหนึ่งสัปดาห์ หลังจากที่พุ่งขึ้นเหนือแนวต้านสําคัญที่ 2,800 ดอลลาร์สหรัฐ

นายจิตติ ตั้งสิทธิ์ภักดี นายกสมาคมค้าทองคำเปิดเผย “ฐานเศรษฐกิจ”ว่า สมาคมค้าทองคำมองแนวโน้มราคาทองคำมีโอกาสแตะ 3,000 ดอลลาร์ลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ภายในไตรมาส 2 ปีนี้ หลังจากต้นปีที่ผ่านมาจนถึง 5 ก.พ.68 ราคาทองคำปรับขึ้นมาเกือบจะ 3,000 บาทแล้ว

นายจิตติ ตั้งสิทธิ์ภักดี นายกสมาคมค้าทองคำ

ส่วนตัวยังมองโอกาสที่ราคาทองคำจะปรับตัวขึ้นได้อีก เพราะนโยบายต่างๆของสหรัฐนั้น ทำให้ผู้บริโภคในประเทศเดือดร้อนจากราคาสินค้าแพงขึ้นบวกกับอัตราเงินเฟ้อที่มีแนวโน้มจะปรับลดลงช้า ดังนั้น ทองคำยังคงเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย ขณะเดียวกันเงินดอลลาร์อาจจะอ่อนค่า 

นอกจากนี้ ปัจจัยกำหนดราคาทองคำยังขึ้นอยู่กับตลาดทองคำโลก ประกอบกับแนวโน้มที่ปีนี้ธนาคารกลางแต่ละประเทศยังคงซื้อทองคำต่อเนื่อง ซึ่งอาจจะเห็นราคาทองคำในประเทศระยะสั้นเคลื่อนไหว 46,000-47,000 บาทต่อบาททองคำ และมองแนวโน้มทองคำยังเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยที่น่าลงทุน

โดยเฉพาะภาพสะท้อนที่ผ่านมา ราคาทองคำปรับที่เพิ่มขึ้นชนะเงินเฟ้อและผลตอบแทนสวนทางกับการลงทุนในหุ้นด้วยซ้ำ 

นายจิตติกล่าวถึงกำลังซื้อในช่วง 2 เดือนแรกปีนี้ว่า การซื้อขายทองคำในประเทศทั้งทองคำแท่งและทองรูปพรรณ์ไม่ค่อยดีเท่าที่ควร แม้ช่วงตรุษจีนที่ราคาทองคำยังไม่ปรับสูงเช่นปัจจุบัน แต่แง่ยอดขายไม่ได้คึกคักนัก แต่ดีกว่าปกติเล็กน้อย

ผู้ประกอบการร้านค้าทองคำพยายามเพิ่มโอกาสในการทำตลาดด้วยการลดขนาดทองคำแท่งเล็กลง 0.3 กรัม เพื่อเพิ่มโอกาสในการถือครองทองคำทั้งเก็บออมและเป็นของขวัญในราคาไม่สูงเพียง 1,000 บาทต้นๆ 

เช่นเดียวกับทองรูปพรรณคือ คนซื้อทองคำ เพื่อเป็นเครื่องประดับก็ลดลง เนื่องจากกำลังซื้อลดรายได้ไม่เพิ่ม สำหรับมุมมองต่อการลงทุนก็มีหายไปบ้าง เมื่อราคาทองคำปรับขึ้นมาบางส่วนยัง “กล้าๆกลัวๆ” ทำให้ยอดขายตกประมาณ 20-30% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันกับปีที่แล้ว

นางสาวฐิภา นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด (YLG) กล่าวว่า ราคาทองโลกตั้งแต่ต้นปี-ปัจจุบัน (5 ก.พ.) ปรับตัวขึ้นมาแล้วถึง 238.03 ดอลลาร์ต่อออนซ์

นางสาวฐิภา นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด

ล่าสุดเพิ่งทดสอบระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์รอบใหม่ที่ 2,861.85 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในตลาดเอเชีย ขณะที่ทองคำแท่ง 96.5%ในประเทศ ปรับตัวขึ้นไม่แพ้กันโดยเพิ่งทดสอบระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์รอบใหม่ที่ 45,500 บาทต่อบาททองคำ ทำให้ตั้งแต่ต้นปีทองคำในประเทศปรับตัวขึ้นมาแล้วถึง 2,950 บาทต่อบาททองคำ 

อย่างไรก็ตามปี 2568 นี้ YLG ยังคงเป้าหมายราคาทองคำไว้ที่ระดับ 3,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ส่วนราคาทองคำแท่ง 96.5% ในประเทศ จะอยู่ที่ 48,100 บาทต่อบาททองคำ และหากค่าเงินบาทมีการอ่อนค่าสู่ 35.15 บาทต่อดอลลาร์ ราคาจะสามารถปรับตัวขึ้นแตะเป้าหมายได้ที่ระดับ 50,000 บาทต่อบาททองคำ 

“ทิศทางราคาทองคำ มีทั้งปัจจัยบวกและลบ ซึ่งนักลงทุนรอจับตา หากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีความชัดเจนว่า สามารถปรับลดดอกเบี้ย ลง 0.50% ในสัดส่วนที่เท่ากับหรือมากกว่านี้ จะเป็นปัจจัยหนุนทองคำ แต่ในทางกลับกัน หากปรับลดดอกเบี้ยได้เพียง 0.25% หรือไม่ปรับลดเลยในปี 2568 ก็จะกลับมาเป็นปัจจัยกดดันทองคำในอนาคตได้เช่นกัน” 

สำหรับโอกาสลงทุนในตลาด Gold Futures นั้น นางสาวฐิภา กล่าวว่า YLG มองว่า ตลาด Gold Futures ยังมีโอกาสเติบโต ยิ่งในยุคที่ราคาทองคำปรับตัวขึ้นทำระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ก็ถือเป็นโอกาสที่นักลงทุนจะสามารถเข้ามาลงทุนทองผ่านตลาด Futures ทั้งในตลาด TFEX และ CME

ด้วยข้อดีของ Gold Futures ที่มี leverage โดยเป็นการวางเงินวางหลักประกันราว 6-10% ของมูลค่าสัญญาเท่านั้น อีกทั้งยังสามารถใช้กลยุทธ์การลงทุนได้หลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการเก็งกำไรระยะสั้น ทั้งในทิศทางขาขึ้นและขาลง พร้อมคำแนะนำในการลงทุน สำหรับนักลงทุนที่ถือทองคำ / ร้านทอง หรือผู้ผลิตเครื่องประดับก็สามารถใช้ Gold Futures ในการ Hedge  

ส่วนนักลงทุนที่มีความรู้ความเข้าใจในตลาดเป็นอย่างดี  สามารถหาจังหวะที่ตลาดทองคำไม่มีประสิทธิภาพ (Market Inefficiency) ทำให้เกิดส่วนต่างของราคาเพื่อเข้าไปทำ Arbitrage ซึ่งสร้างผลกำไรและมีความเสี่ยงต่ำ

ทั้งนี้  ปริมาณการซื้อขายแต่ละผลิตภัณฑ์ในตลาดซื้อขายสัญญาล่วงหน้าในหมวดหมู่ของทองคำเติบโตอย่างต่อเนื่อง ด้วยปริมาณการซื้อขายรวม 12,107,896 สัญญา  เพิ่มขึ้นกว่า 9.39% จากปี 2566  

นำโดย Gold Online Futures  ที่มีปริมาณการซื้อขายเป็นสัดส่วนใหญ่สุดสัญญาล่วงหน้าในหมวดหมู่ของทองคำ หรือคิดเป็นสัดส่วน 92% สะท้อนว่าการซื้อขาย Gold Futures เป็นทางเลือกการลงทุนทองยอดนิยมของคนไทย 

สอดคล้องกับตัวเลขของ World Gold Council ในปี 2567 มูลค่าการซื้อขายอยู่ที่  8.65 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อวัน  เพิ่มขึ้น 40% จากปี 2566 ที่มีมูลค่าการซื้อขายอยู่ที่  6.15 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อวัน  

นำโดยตลาด COMEX ที่มี Trading volumes เฉลี่ย 5.74 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อวัน  คิดเป็น 66% ของตลาดทั้งหมดที่ รองลงมาคือ ตลาดล่วงหน้าเซี่ยงไฮ้หรือ SHFE (Shanghai Futures Exchange) โดยมีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ย 2.4 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อวัน

 

หน้า 13 หนังสือพิมพ์ ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 4,069 วันที่ 9 - 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568